เปิดไฟ ไฟติด กดสวิตช์ > ไฟติด > อ่านหนังสือ (ถ้าไม่มีไฟ
เวลานั้นไม่ได้อ่าน เรื่องจากนี้อาจเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นแทน) เมื่อได้อ่าน > เกิดความรู้ เกิดปัญญา > พ้นทุกข์ได้ในเวลานั้น > จึงสนใจสู่การปฏิบัติ
หากไฟไม่ติดเรื่องอาจจะเปลี่ยนไป กดสวิตช์ > ไฟไม่ติด ไฟดับ >
เดินไปหยิบของในตู้เย็น > มองไม่เห็น > มือปัดแก้ว > แก้วตกแตก >
เดินไปเหยียบแก้วแตก
เพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น ตลอดเวลาเรื่องราว
ในชีวิตอาจเปลี่ยนไปจากเหตุปัจจัย ทำให้ไปพบเรื่องอื่นๆ หากทำเหตุดี ผลจะดี หากสร้างเหตุไม่ดี ผลจะพาไปพบกับสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้น
ทุกวินาที สติปัญญาจะเปลี่ยนชีวิตหันเหเข้าสู่กุศล
กดสวิตช์ เป็นเหตุ ไฟติดเป็นผล > ไฟติดเป็นเหตุ > อ่านหนังสือ
เป็นผล > อ่านหนังสือเป็นเหตุ > เกิดปัญญาความรู้เป็นผล > เกิดปัญญาความรู้เป็นเหตุ > สร้างประโยชน์ให้กับสังคมเป็นผล > …
แต่หากมีโมหะ, โลภะ ผลอาจเปลี่ยนไป ผลจะกลายเป็นเหตุ
เหตุก็ไปสร้างผล > … หรือ > ตักตวงผลประโยชน์เข้าตัว ทำทุจริต
เป็นผล > …
นี้คือความเป็นอิทัปปัจจยตา เพราะมีเหตุจึงเป็นผล แล้วผลจะกลายเป็นเหตุต่อไป และไปสร้างผล ไม่มีที่สิ้นสุด
เห็นหรือไม่ว่า แต่ละทางเลือกหรือทางสองแพร่ง มีอยู่เป็นระยะๆ
ว่าผลอาจเปลี่ยนจากกุศลเป็นอกุศล หรือไม่ก็เปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศล
ดังนั้นการเปลี่ยนนั้นต้องมีสติประกอบ เพื่อให้การสร้างเหตุเป็นการ
สร้างกุศล
ฝึกที่จะเห็นอย่างนี้ในทุกๆ เรื่องแล้วจะวนเข้าสู่ปัญญาในระดับปฏิจจสมุปบาท จนวิมุตติได้ด้วยมุมมองเดียวกัน
รูปนามในโลกในจักรวาลอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งหมด ลองเอาไปจับดูให้เห็นด้วยตัวเอง แล้ววันหนึ่งจะเข้าถึงอนัตตาธรรม จนเห็นว่า
มันเป็นของมันอย่างนี้เอง ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนให้ยึดถือ สร้างเหตุที่ดีไว้ จนวันหนึ่งทำแต่เหตุไม่ยึดผล ไม่สร้างผู้ทำเหตุ จะอยู่ใน
สภาพ “นอกเหตุ เหนือผล”
22 กันยายน 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น