คนที่มาเข้าคอร์สปฏิบัติ เวลากลับออกไป ก็มักจะมาเล่าให้ฟังเสมอๆ ว่า กระแสข้างนอกมันแรงจริงๆ
เราพลาดอะไรไปบางอย่างรึเปล่า ตอนที่มาฝึกอยู่ในคอร์สนั้น แน่นอนการกระทบต่างๆ มันน้อยก็จริง แต่ว่าเราฝึกที่จะไม่ลงไปเป็นผู้กระทบหรือเป็นเจ้าของการกระทบ นั่นจึงทำให้เรารู้สึกเบาและสบาย
ยกตัวอย่างเช่น เราไปเล่นน้ำตก น้ำตกมีทั้งช่วงที่ไหลแรง มีทั้งช่วงที่ไหลเบา หากมีคนลงไปเล่นน้ำตกในช่วงที่น้ำตกไหลแรง เขาจะต้องต้านน้ำตกนั้นอย่างมาก นั่นคือเขาต้องใช้พลังงานในการยืนอยู่เพื่อรักษาเสถียรภาพไม่ให้ล้ม นั่นทุกข์มาก เมื่อเขาอยู่ในบริเวณที่น้ำไหลเอื่อยๆ เขาทำแบบเดียวกันแต่เผอิญว่าน้ำมันไหลไม่แรง เขาจึงรู้สึกว่ายืนได้ไม่ยากนัก นี่ประเภทปุถุชนผู้มิได้สดับ
นักปฏิบัติต้องยิ่งขึ้นไปกว่านี้ ถ้าแบบที่กล่าวมานี้ถือว่าไม่ก้าวหน้าเลย หมายถึงอย่างไร หากเราเอาตัวต้านน้ำตกก็จะอยู่ภายใต้กระแสที่เปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัยของมัน เราก็ยังคงทุกข์อยู่นั่นล่ะ ในเบื้องต้น เมื่อเกิดสัมมาทิฏฐิ จะมีธรรมชาตหนึ่งที่อยู่ในน้ำเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยคืออยู่กับวิบากของเขา อีกธรรมชาติหนึ่งอยู่บนฝั่งดูธรรมชาตินั้น แต่ไม่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับการปะทะ การกระทบ (นี่เบื้องต้นแน่หรือ?) อย่างนี้เรียกว่า ผู้ตกอยู่ในกระแส แต่ไม่ใช่กระแสน้ำที่เรากำลังพูดถึงนี่นะ หมายถึงกระแสแห่งพระนิพพาน แค่นี้ความทุกข์กับคนที่อยู่ในน้ำไม่มีแล้วเข้าใจไหม
ถ้าทำไปอย่างนี้จะเห็นว่ามีคนอยู่ในน้ำหนึ่ง มีคนอยู่บนบกเพื่อเฝ้าดูคนอยู่ในน้ำอีกหนึ่ง แรกๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับคนที่อยู่ในน้ำแล้ว แต่เชื่อไหมเมื่อยังเฝ้าดูมันก็ทุกข์กับการเฝ้าดู เที่ยวไปรู้เรื่องคนที่เราเฝ้าดู (คนข้างบ้าน…รู้จักรึยัง) คนที่อยู่ในน้ำจะเป็นยังไงก็เรื่องของวิบาก ผู้เฝ้าดูอยู่บนฝั่งตัดใจที่จะไม่ผูกพันด้วยอีกต่อไป ตัดใจลุกขึ้นทิ้งทุกอย่างที่เคยร่วมทุกข์ร่วมทุกข์กันมา (เขียนถูก…ไม่ผิดหรอก) ไม่มีคนข้างบ้าน เพราะไม่มีใครไปอยู่ข้างบ้านคนที่เราเคยเฝ้าดู หมดที่ตั้งของความทุกข์ หมดเรื่องกัน…หมดเหตุเกิด
ทำอย่างนี้ อยู่ที่ไหนๆ บนโลกก็ทำได้ อยู่ในเพศไหนๆ ก็ทำได้ ขอให้เจริญมรรคให้มากๆ ความสงบเย็นจักเกิดมีในทุกคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น