ในวงสนทนาแห่งหนึ่ง
ชายคนแรก : คุณนี่เป็นเศรษฐีนะ
ชายคนที่สอง : โอ้ย ไม่ใช่หรอกครับ หนี้สินเยอะแยะ
ชายคนแรก : แล้วระหว่างเบนซ์กับบีเอ็มที่ใช้อยู่ชอบคันไหนมากกว่ากัน
ชายคนที่สอง : ผมชอบบีเอ็มมากกว่า ขับสนุกแต่สะเทือนกว่า เบนซ์ก็นิ่มดี แต่มันป๋าไปหน่อย
ชายคนแรก : มีทั้งเบนซ์ทั้งบีเอ็มยังว่าตัวเองไม่ใช่เศรษฐีอีกเหรอ…
เห็นไหมเมื่อชายคนที่สองถูกถามว่าเขาเป็นเศรษฐีเหรอ เขากลับบอกว่าเขาไม่ได้เป็นเศรษฐี แต่ถ้าถามถึงรถหรูที่เขามี (อย่จริง) เขาจะตอบได้อย่างฉะฉานไม่มีการเก้อเขิน
ทำไมเหรอ? เพราะว่าบีเอ็ม เบนซ์ สมรรถนะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ส่วนคำว่าเศรษฐีถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเรียกบุคคลที่มีลักษณะดังกล่าวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องไปปรารถนาจะเป็นอะไรแล้ว ส่วนใหญ่เราก็จึงเห็นว่าเศรษฐีจริงๆ กลับไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเศรษฐีเลย เขาก็แค่มีเงินใช้อยากซื้ออะไรอยากได้อะไรก็ซื้อ มันก็เท่านั้นเอง เป็นเศรษฐีตรงไหน
แล้วเกี่ยวอะไรกับพระโสดาบันหรือ? ถ้ามีใครไปถามพระโสดาบันหรือพระอรหันต์ ท่านจะไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวท่าน นั่นเป็นสิ่งที่คนๆ นั้นพูดไปเอง แต่หากถามว่าแล้วท่านยังลังเลสังสัยในพระพุทธเจ้าไหม ในพระธรรมไหม ในพระอริยสงฆ์ไหม ท่านก็จะตอบได้เป็นฉากๆ อย่างผู้ที่สัมผัสเองตลอดเวลา
เอาล่ะถ้ามีคนบอกว่า การตอบแบบนี้ก็คือการอวดตัวว่าตัวเองเป็นพระโสดาบันนั่นแหละ ก็คงตอบว่า ไม่ใช่ เพราะคำที่ว่าเป็นพระโสดาบันหรือพระอรหันต์ (ซึ่งละสังโยชน์ ๑๐ แล้ว) นั่นท่านตอบตามที่ถูกถามและสิ่งนั้นก็เป็นอย่างนั้นอยู่จริงๆ ไม่ใช่ท่านหรือตัวท่าน เมื่อคนไปตีความกันเองจะเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย แล้วจะบอกว่าท่านตอบอย่างนี้จะให้คนคิดว่าอย่างไรล่ะ นั่นก็กล่าวหาท่านไม่ได้เพราะถามในสิ่งที่ท่านรู้แล้วทำไมท่านจะไม่ตอบ นอกจากเห็นว่าผู้ถามมีเจตนาเป็นที่ไม่ได้ต้องการคำตอบแต่พยายามจะโยงไปเรื่องที่ตัวเองต้องการเท่านั้น
ในสมัยพุทธกาลเคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดกับพระสารีบุตรเช่นกัน…
จะเห็นความต่างมีอยู่บ้างคือ ในเศรษฐีมีการปฏิเสธ เมื่อมีคนกล่าวว่าเขาเป็นเศรษฐี เนื่องจากเศรษฐีนั้นหากเป็นปุถุชนก็จะเกิดความเป็นตน หนึ่งคือรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ว่า “เรา” ไม่ได้เป็น
สองทำเป็นถ่อม “ตัว” เขาจะได้เห็นว่า “เรา” เป็นคนดี
นั่นเป็นเรื่องปรกติกับผู้ที่มีสักกายทิฏฐิ ถ้าไม่ชี้แจงหรือออกตัวในลักษณะปกป้องตัวเอง เดี๋ยว “เขา” จะหาว่า “เรา” …นี่คือปุถุชนแน่นอน
แต่ในพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ไม่มีการยอมรับหรือคัดค้าน เนื่องจากเมื่อไม่มีความรู้สึกในความเป็นตัวตนแบบบุคคลเราเขา จึงไม่ได้รู้สึกว่าเขาพูดถึงเรา เราต้องตอบ เราต้องปฏิเสธเพราะเขากำลังกล่าวหาเรา เมื่อไม่มีเรา ใครจะปกป้องใครกัน หากจะชี้แจงหากควรหรือจำเป็นก็แค่ทำไป เพราะจะเป็นประโยชน์หรือผดุงความถูกต้องไว้เท่านั้น
24 ธันวาคม 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น