เห็นถูก รู้แจ้ง 3

เทียนเป็นสภาพทุกข์ เพราะเมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยน เทียนต้องปรับสภาพเพื่อรักษาสมดุลใหม่ ซึ่งเทียนไม่เคยเสถียรเลย เพราะเหตุปัจจัยมีมากมายเหลือประมาณที่ส่งผลตลอดเวลาต่อเทียนในแต่ละวินาที

เปลวเทียนมีความร้อนโดยสภาพของมัน แต่เปลวเทียนของเงาในกระจก กลับไม่มีสภาพความร้อนใดๆ ในกระจกเงาเลย หากจิตของเราเพียงรับรู้สภาพสรรพสิ่ง โดยปราศจากการปรุงแต่ง การรับรู้จะเป็นเพียงสักแต่เห็นดังเช่นกระจกเงา ไม่หลงปรุงมันขึ้นมาเป็นเจ้าของด้วยความไม่รู้ จะเกิดความทุกข์ขึ้นได้อย่างไร

ภาพต่างๆ ที่เกิดเป็นเงาในกระจก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดเวลา แต่การเกิดขึ้นดับไปของภาพทั้งหลายนั้น ไม่เคยสร้างความยินดีพอใจหลงใหลได้ปลื้มให้กับกระจก ภาพนั้นๆ จะร้อนแรงหรืออ่อนโยน ก็ไม่เคยสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้กระจกเงาเกิดเป็นอารมณ์



เมื่อจิตรู้อริยสัจขึ้นมาอย่างแจ่มแจ้ง จิตจะรับรู้สภาพต่างๆ โดยไม่ปรุงแต่งยึดถือตนเองขึ้นมาอีก จิตจะกลับไปสู่ธรรมชาติเดิมแท้ นั่นล่ะคือความสงบเย็นที่แท้จริง


บทความภายในเล่ม:

เกริ่นนำ | จดหมายจากอาจารย์ประเสริฐ | คำพยากรณ์จากเด็กชายปลาบู่ | คำบอกเล่าถึงภัยพิบัติของเด็กชายปลาบู่ระลึกชาติ | เอาของเน่ามาแลกของดี ทำไมไม่รีบเอา | ตายอยู่แล้ว ไม่มีไม่ตาย | บรรลุธรรมด้วยปัญญา | ภัยจะพิบัติไหมไม่รู้ แต่ใจพิบัติไปก่อนแล้ว | ปฏิบัติไปก็ไม่เห็นดีขึ้นเลย | เราอยากเป็นใครไหม? | ปีใหม่ไปไหนมาบ้าง | เจ้ากรรมนายเวร | พวกเราผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา | สติ สมาธิ ปัญญา เป็นผู้ร้ายของผู้มีมิจฉาทิฏฐิ | ผู้คุ้มกฎ | เก่งหรือโง่ ที่เล่นกับเสือเหมือนเล่นกับแมว | ท่องเที่ยวไป เดินทางไกลในโลกกว้าง | ร่มเงา เมฆ พระอาทิตย์ | องคุลิมาล เรื่องที่เราไม่เคยได้ยิน | แต่ละวัน แต่ละวัน มีที่ว่าง ให้ทุกคนพักได้อย่างสบายใจ | อย่าประมาท เราอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้ | หมอ…ได้โปรดอย่าโกหก | เปรต ทุสะนะโส | วัดความก้าวหน้าจากชีวิตตอนนี้มีความสุข? | ถ้าไม่มีเครื่องสำอางค์ แล้วคุณค่าของผู้หญิงคืออะไร? | โลกนี้มีอยู่แค่ตอนนี้ จะสุข จะทุกข์ จะอุเบกขา ก็อยู่แค่ตอนนี้ | บุญกุศล และอานิสงส์ของมนุษย์ | ตาย | ความรักกับความเมตตา | ความเป็นกู เป็นของกู… | ซื้อของให้ผู้อื่น…ได้บุญ ซื้อของให้ตนเอง…ไม่ได้บุญ | ตัวโอกาส | หัวใจพุทธ | การบรรลุธรรมด้วย iPad | ขอบคุณกิเลสฝ่ายขาวที่ทำให้เราอยากปฏิบัติธรรม | หน้าที่บังความดี | ทำมา ่ากิน | เหตุผล เหตุให้เกิดทุกข์ | ที่วัดส่วนสูง  | ไม่ได้คิดอะไร-คิดมากน่า | เวลามีค่าทุกวินาที | เลี้ยงลูกไม่เป็น | ทำไมผู้ชายมีเมียน้อย


จดหมายจากอาจารย์ประเสริฐ

วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ ผมเพิ่งปิดคอร์สที่แพร่ จึงไม่ได้มีโอกาสไปร่วมงานในปีนี้ ผมสำนึกในบุญคุณที่หลวงพ่อสอนสั่งมาโดยตลอด หลวงพ่อทำให้พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจริงขึ้นมา แม้นเวลาล่วงไป 2,600 ปี แล้วก็ตาม ทำให้ผมและผู้คนเกิดความมั่นใจว่า หนทางแห่งการพ้นทุกข์จนถึงที่สุดนั้น ยังมีอยู่จริง ไม่เคยเปลี่ยนไปตามกาล หลวงพ่อเป็นหลักชัยให้นักปฏิบัติทั้งหลาย มุ่งมั่นเดินตามทางอันมีอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวทางอย่างอาจหาญ ไม่ย่อท้อ เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อให้บรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ ด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก

ทุกครั้งที่กราบนิมนต์หลวงพ่อไปแสดงธรรม ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่ากับใคร ไม่ว่าช่วงนั้นหลวงพ่อจะเจ็บป่วยอยู่หรือไม่ หลวงพ่อไม่เคยปฏิเสธเลย แม้ล่าสุด ที่จะนิมนต์หลวงพ่อไปบรรยายให้คนเพียง 40 คนฟัง ซึ่งเป็นผู้ตั้งใจปฏิบัติ การนิมนต์หลวงพ่อไปบรรยาย แม้เป็นการไปบรรยายเพียงคืนเดียว หลวงพ่อไม่เคยต้องคิด ถามเพียงว่า “เมื่อไหร่…ได้ หลวงพ่อว่าง” แต่คำตอบสั้นๆ นั่นมันหมายถึงว่า หลวงพ่อต้องตื่นแต่เช้ามืด เก็บข้าวของเดินลงจากเขา นั่งรถไปหาดใหญ่ นั่งเครื่องไปกรุงเทพ เดินทางไปปทุมธานี บรรยายเสร็จเช้าเดินทางกลับไปสนามบิน ต่อไปยังหาดใหญ่ นั่งรถกลับไปพัทลุง แล้วเดินขึ้นเขากลับวัด นั่นเป็นสิ่งที่ประทับใจศิษย์ทุกคนอย่างไม่มีวันลืม เพราะหลวงพ่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่า พระธรรมสำคัญที่สุด ที่ทุกคนต้องรักษาไว้

คำสอนสั้นๆ ของหลวงพ่อที่กินใจ บันทึกไว้ในใจของลูกศิษย์ทั้งหลายอย่างไม่มีวันลืมเลือน อาทิเช่น “ทำไมไม่เอาของเน่าไปแลกของดีล่ะ กายของเรานั้นเน่าอยู่แล้ว เราตายแน่ กายเรานั่นเน่าแน่นอน ทำไมไม่เอาของเน่าไปแลกสิ่งประเสริฐที่พระพุทธเจ้าให้ไว้”

เวลาที่ผมเดินทางประกาศธรรมในฐานะสาวก ไม่ว่าที่แห่งหนไหน ไม่ว่าผู้ฟังจะเป็นใคร ไม่ว่าจะลำบากเหนื่อยยากเพียงใด เวลาหลวงพ่อถามว่า “เหนื่อยไหม?” ผมตอบว่า “เหนื่อยครับ” หลวงพ่อจะให้กำลังใจว่า “ให้หายใจในปี่นะ” ผมน้อมรับและจดจำมาจนถึงวันนี้ คนทั่วไปเขาเหนื่อยเขาไปเที่ยวกัน เขาไปพักผ่อนกัน แต่เราเหมือนคนเป่าปี่ จะไม่สามารถวางปี่ลงได้ เราต้องอาศัยหายใจพักผ่อนไปในขณะที่กำลังเป่าปี่นะ

“จงมีชีวิตเพื่อผู้อื่น” เมื่อนั้นตัวตนเราจะสลายไป ความเห็นแก่ตัวจะไม่มี จะเห็นสรรพสิ่งเป็นอนัตตา จำไว้นะ หน้าที่ของเราให้ทำอย่างนี้ไปจนตาย ไม่มีใครดูแลก็ให้มันตายไปเลย ทำให้กับโลกอย่างเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่า การบรรลุธรรมสามารถเกิดขึ้นได้จากการแสดงธรรม

คำสอนทรงคุณค่าที่เปลี่ยนชีวิตผม คือคำที่หลวงพ่อทักในรถขณะนั่งไปด้วยกันคือ “เห็นไหมว่าตาไม่ใช่เรา” จากวันนั้น ผมจึงได้เห็นและเข้าใจ เป็นที่มาของความเข้าถึงความจริงอันยิ่งใหญ่

คำของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนสาวกเป็นอันมากและสั่งสอนมาโดยตลอด คือคำว่า

นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา

นั่นคือสิ่งที่ผู้คนไม่เข้าใจ ในคำสอนที่กระชับแสนสั้นของหลวงพ่อ ที่พร่ำสอนศิษย์มาตลอด ให้ภาวนาว่า “ไม่ใช่กู” เพราะคำว่าไม่ใช่กูนี่ คือการย่อทั้ง 3 ประโยค ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่สาวกนั้น เข้ามาสู่คำๆ เดียว เพราะเมื่อใครได้เข้าใจคำนี้ จนถึงที่สุดว่า แม้นจิตเองก็ไม่ใช่ “กู” เมื่อนั้นจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ หลุดพ้นไป

กราบแทบเท้าหลวงพ่อด้วยใจเคารพอันหาที่สุดมิได้

ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
สวนยินดีธรรม สุราษฎร์ธานี
www.suanyindee.net
13 พฤศจิกายน 2555


เกริ่นนำ

จากที่เขียนบทความเปรียบเทียบวัฒนธรรมไทยกับญี่ปุ่นลงหนังสือเล่มแรกไป ก็ได้รับเสียงตอบรับมาพอสมควร จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายประเด็นที่สามารถหยิบยกมาอภิปรายกันได้ หนึ่งในนั้นก็คือ “ทำไมคนไทยชอบไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น” คำตอบก็คงมีหลากหลาย แต่หลักๆ น่าจะเป็น “ธรรมชาติสวยงาม” และ “ชอบคนญี่ปุ่น”

ชาวญี่ปุ่นที่เราได้พบได้เจอเวลาไปเที่ยว ช่างน่ารัก สุภาพ สำรวม มีมารยาทและคอยคิดถึงผู้อื่นอยู่เสมอ แล้วเหตุใด ถึงมีข่าวว่าชาวญี่ปุ่นมีอัตราฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก ดูไม่น่าเป็นไปได้สำหรับชนชาติที่ดูใกล้ชิดและรักธรรมชาติ ดูบริสุทธิ์ไม่คิดร้ายกับใครๆ นักเรียนไทยที่มีโอกาสไปเรียน-แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ญี่ปุ่นจะบอกท่านได้ว่าสังคมของเขาเจ้าระเบียบ และทำให้รู้สึกกดดัน เครียด และหดหู่ได้มากขนาดไหน

ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเรามาจากประเทศที่ร้อนและหยวนกันเป็นกิจวัตร (อ้างอิงถึงบทความก่อนหน้านี้) แต่ดิฉันที่มีโอกาสอยู่ร่วมบ้านกับคนญี่ปุ่นมาตลอดหนึ่งปีเต็มนั้น สามารถพูดได้ว่าคนญี่ปุ่นเองเขาก็รู้สึกถึงความเครียดตรงนี้เช่นเดียวกัน

สำหรับประเทศที่จัดว่าเจริญแล้วอย่างญี่ปุ่นนั้น การมาสายเป็นเรื่องที่ต้องขอโทษขอโพยกันเป็นเรื่องเป็นราว มีคำพูดเฉพาะสำหรับพูดว่า “ขอโทษที่ทำให้คุณต้องรอ” (お待たせしました) มีทั้งฉบับเป็นกันเองเอาไว้พูดกับเพื่อนสนิท (お待たせ) และฉบับเป็นทางการกดตัวเองให้ต่ำกว่าคู่สนทนา (お待たせいたしました) เผื่อเดินเข้าไปเจอผู้รอกำลังอารมณ์เสียอยู่พอดีเขาจะได้รู้สึกดีขึ้นมาักหน่อย (หัวเราะ)

ไม่ว่าจะรถไฟ รถใต้ดิน รถเมล์ ทุกอย่างมีตารางเวลาแปะเอาไว้ที่สถานี/ป้ายรถเมล์ทั้งนั้น สามารถดาวน์โหลดจากเว็บไซต์เพื่อพิมพ์แปะไว้หน้าตู้เย็นที่บ้านได้อีกต่างหาก ข้ออ้างที่ว่าพอไปถึงป้ายรถเมล์รถก็วิ่งออกไปพอดีนั้น จึงไม่ค่อยมีความหมายอะไรสักเท่าไรในประเทศเขา

นอกจากนี้สิ่งที่คนไทยคุ้นเคยกันอย่างดีก็คือการต่อแถว ไม่ว่าจะซื้อโมจิ เข้าร้านอาหาร ขึ้นรถเมล์รถไฟรถแท็กซี่ ซื้อตั๋วเบสบอล เข้าคิวถ่ายรูปกับใบไม้แดง (เจอมาแล้วที่จังหวัดนารา) เข้าร้านเปิดใหม่ (ตอนคริสปี้ครีมเปิดสาขาใหม่ที่จังหวัดที่ดิฉันไปอยู่ ก็ต้องต่อคิวพอๆ กับตอนมาเปิดที่สยามพารากอนเช่นกันสหากแต่ของเขาคิวเคลื่อนเร็วมาก และถ้ารอนานเกินครึ่งชั่วโมงจะได้กินฟรี 1 ชิ้นด้วย ทุกคนเลยไม่ว่าอะไร) (หัวเราะ)

พอเรียนจบก็ต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า (就職活動) คือการแข่งขันสมัครงาน ซื้อสูทมาใส่ไปสมัครบริษัทนู้นบริษัทนี้ ส่วนผู้หญิงก็มักจะผ่านกระบวนการ (結婚活動) คือการแข่งขันหาคู่สมรส เคร่งเครียดทุกอย่างเพราะถูกสังคมมองว่าอายุสมควรแก่การแต่งงานแล้ว ต้องหาคู่ไปออกเดท และพยายามรวบรัดตัดความแต่งงานให้ได้ ก่อนจะถูกมองว่าแก่ขนาดนี้แล้วยังไม่แต่งงานอีกหรือ ไปญี่ปุ่นสมัยนี้จะเห็นคุณแม่ยังสาวเข็นรถเข็นลูกไปช้อปปิ้งในห้างฯ พร้อมเพื่อนสาวและรถเข็นเด็กของเพื่อนกันเป็นเรื่องปกติ

สิ่งที่จะบอกก็คือ ผู้ใดที่ทำไม่ได้อย่างที่ว่าทั้งหมดนี้ (แน่นอนว่ายังมีบรรทัดฐานอื่นๆ คอยชี้นำการกระทำต่างๆ ในชีวิตของชาวญี่ปุ่นอีก) ถ้าไม่ประสบความสำเร็จด้านอื่นไปเลย ก็อาจจะถูกมองว่าไร้ค่า ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง อยู่รอดในสังคมไม่ได้หรอกคนแบบนี้ ในสังคมญี่ปุ่นเราจะต้องทำเหมือนๆ คนอื่น ใครแตกต่าง ใครโดดเด่นเกินจะถูกมองด้วยสายตาตำหนิ (ยกเว้นคุณเป็นชาวต่างชาติ เขาจะมองว่าเก่งจัง เยี่ยมจังที่กล้าแตกต่าง ฉันอยากเป็นเหมือนคุณบ้าง) เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่จะมีความกดดันในสังคมสูงมาก ต้องพยายามอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นก็จะตกลงไปสู่ด้านล่างของสังคมที่ไม่มีใครต้องการเรา แล้วพอเราตกลงไปแล้ว ใครจะอยากคุยกับเรา ใครจะอยากยื่นมือช่วยเราหรือ? ไม่มีหรอก เพราะเขาไม่อยากตกลงมาอยู่กับเรา คนที่รู้สึกไร้ค่าและว้าเหว่ขนาดนี้ มากๆ เข้าก็ทนไม่ไหวต้องฆ่าตัวตายหนีไป

เวลาที่ความฝันพังทลาย แม้แต่ความจริงก็แทบจะไม่เหลือ คนเราจะอยู่ในจุดที่อาจจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น สิ่งสุดท้ายที่จะดึงเราไว้ไม่ให้เสียจิตวิญญาณของเราไป ก็มีเพียงความศรัทธา หรือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ อย่างที่ทราบกันดีว่า คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในประเทศนั้น ไม่มีศาสนา เมื่อไม่มีเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปอีกทำไม เพราะไม่มีอะไรมาอธิบายว่า ชีวิตคืออะไร? แล้วทำไมเขาควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป? ไม่มีอะไรจะให้ความหมายกับชีวิตหรือการกระทำของเขาได้ ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องราวโหดร้าย? หรือทำไมการฆ่าตัวตายจึงไม่ทำให้อะไรดีขึ้น? สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะพูดว่าอันตรายก็คงจะได้

สำหรับคนไทยแทบจะทั้งหมดของประเทศที่นับถือศาสนาต่างๆ ก็ขอให้นำคำสอนของศาสนาที่ท่านนับถือไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์เถิด ในวันที่ท่านท้อ หมดความหวัง จะได้ยังมีความเชื่อที่จะฉุดให้ท่านลุกขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง

สุดท้ายนี้ขอออกตัวว่าที่เล่ามาทั้งหมดมิได้มีเจตนาจะตัดสินวัฒนธรรมใดแต่อย่างใด สิ่งที่ดิฉันเล่ามาทั้งหมดเป็นสิ่งที่คนไทยที่ได้ไปอยู่ญี่ปุ่นสักระยะเวลาหนึ่งมักจะมองเห็น โดยที่มองบนพื้นฐานที่ว่าเราเป็นคนไทย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ยังรักประเทศและประชากรของประเทศนี้เสมอ และไม่ว่าใครจะพูดหรือมองอย่างไรก็จะไม่สามารถเปลี่ยนความคิดนี้ไปได้ ขอบพระคุณค่ะ

ขออนุโมทนากับทุกท่าน

รัญชิดา อุทัยเฉลิม 
บรรณาธิการ


ทำไมผู้ชายมีเมียน้อย

ทำไมผู้ชายจึงมีเมียน้อย…เพราะเมียน้อย เอาอกเอาใจ ไม่แสดงความเป็นเจ้าของ ไม่วุ่นวาย ไม่บ่น อะไรก็ยอมรับในความเป็นตัวเรา ไม่บังคับให้ต้องเป็นอย่างที่ฉันต้องการให้เป็น ยอมทุกอย่าง อะไรประมาณนี้ล่ะ

แต่วันใดที่เมียน้อยเป็นเมียหลวงขึ้นมา ผู้ชายจะมีเมียน้อยอีก

แต่ถ้าเมียหลวงเป็นเมียน้อย สามีจะไม่มีเมียน้อยเพราะมีเมียน้อยแล้ว (แถมมีเมียหลวงด้วย)

เมื่อขันธ์เป็นอิสระไม่ถูกตีตราจอง ไม่ถูกจิตแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ขันธ์เขาก็ได้สบายๆ (เราพูดนะ เขาไม่เคยว่าเขาสบายหรือไม่สบาย แต่สภาพของเขานั้นเป็นทุกข์บีบคั้นตลอดนั้นล่ะ) ทุกวันนี้ถูกเรายึดไว้แล้วมาบอกว่า “เราดูแล…ได้ดีอย่างนี้ (ดีตายล่ะ) เพราะเรา” จึงทุกข์กันทั้งขบวน คนไปยึดเขา…ก็ทุกข์ คนถูกยึด…ก็ทุกข์ คนยึดเขาก็โง่ดันไปยึดตัวเองด้วย…จึงเป็นต้นเหตุ (ต้นเหตุแท้ๆ ของความทุกข์ทั้งมวลเลย ไม่ต้องไปหาต้นกว่านี้แล้ว ปลดตรงนี้หลุดหมด ตัณหาเป็นสมุทัยระดับอาการของจิต เป็นตัวสร้างภพพาเกิด)

พอโง่ยึดตัวเองก็เลยมีขันธ์ของกูเลย พอมีขันธ์ของกูอะไรๆ ที่ขันธ์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็กลายเป็นของกูหมด อะไรต่ออะไรที่ของกูไปสัมผัสด้วย มันก็เอามาเป็นของกูอีก ทั้งบ้าน ทั้งสังคม ทั้งประเทศ ทั้งโลก ทั้งจักรวาล ก็เลยเป็นของกูหมดเลย โอย…แค่พูดก็ทุกข์แล้ว

จิตเป็นธรรมชาติพอยึดจิตเป็นกู กายใจ (ขันธ์ 5) นี้เลยเป็นของกู พอมีลูกก็เลยเป็นลูกกู ลูกมีแฟนก็เลยเป็นเขยกู เขยไปมีบริษัทก็เป็นบริษัทเขยกู มีใครด่าบริษัทเขยกูก็โกรธส นี่ถ้าเขยไปซื้อรถใหม่ ก็เป็นรถใหม่ของเขยกูอีก

ทั้งๆ ที่ไม่มีใครๆ ทั้งนั้น เป็นธรรมชาติกันหมด ไปยึดขึ้นมาเองจริงๆ จะบอกว่ายึดตามธรรมชาติเพราะไม่รู้ก็ใช่ แต่วันนี้มีทางออกแล้ว แต่ประตูทางออกนี้เปิดไม่นานนะ จะทำอะไรก็รีบทำนะ อย่ามัวเล่นน้ำตกเพลิน ผมว่าคนที่ได้อ่านเรื่องนี้ ก็เพราะตั้งใจซื้อหนังสือเล่มนี้มา อย่ามัวเล่นน้ำนะ เพราะน้ำที่ท่านกำลังเล่นนั้นเชี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ท่านไหลต่ำลงไปเรื่อยๆ แต่ท่านไม่รู้ตัว ยิ่งเชี่ยวท่านกลับว่ายิ่งสนุก ท่านผู้รู้ทั้งหลายก็ได้แต่ตะโกนให้รีบขึ้น แต่คนที่เล่นน้ำก็บอกขออีกแป๊บนึงๆ มาตลอด กำลังจะถึงจุดที่เชี่ยวจนขึ้นไม่ได้แล้ว และถึงจุดที่เปลี่ยนใจไม่ทันแล้วนะ และสุดปลายทางนั้นหรือก็คือ เหวนรก



เรื่องราวในชีวิตจริง

สามีภรรยาคู่หนึ่งไปจ่ายตลาด เห็นยายแก่ๆ ขายผักคะน้าอยู่ข้างทาง จึงเดินเข้าไปหาและถามว่า

ภรรยานั่งลง: ยายจ๊ะ ผักคะน้ากองนี้เท่าไหร่?
ยาย: 35 บาทจ้ะ

ภรรยา: แหมยาย 30 ได้ไหม?
ยาย: โอ้ย 35 ก็ถูกแล้ว ยายปลูกเองกว่าจะได้ขนาดนี้ใช้เวลานานเชียว อย่าต่อเลย

ภรรยา: เถอะน่ายาย ลดหน่อยนะ

สามีเริ่มมองดูสถานการณ์ด้วยความอึดอัด

ยาย: ยายยังต้องเลี้ยงหลานอีก วันๆ ก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว เพียงได้เงินมาเลี้ยงชีพบ้างนิดหน่อยเท่านั้น

ภรรยาลุกขึ้นแล้วพูดว่า “งั้นไม่เป็นไรยาย” แล้วเดินหันหลัง ไปร้านอื่น พร้อมกับบ่นกับสามีว่า “5 บาทก็ไม่ลด!”

สามีพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “5 บาทยังจะต่ออีก” แล้วเดินแยกออกไป “เจอกันที่รถ เสร็จแล้วโทรมา”

ภรรยาคนนี้ปฏิบัติธรรม…



เลี้ยงลูกไม่เป็น

แม่เลี้ยงลูกไม่เป็น ตามใจปล่อยปละละเลย ให้ทุกอย่างที่ชอบ พาไปทุกที่ที่อยากไป ลูกเหลวแหลกเละเทะ นิสัยสันดานแย่สุดๆ ใครว่าก็โกรธ ใครบ่นก็ด่ากลับ บ่อยครั้งที่ลงมือลงไม้ อยากได้อะไรต้องได้ดั่งใจ จากนั้นเมื่อเคยให้ทุกอย่าง วันใดที่ลูกไม่ได้จะเหตุผลใดก็ตามไม่สน ฉันต้องได้ ไม่ได้ก็จะแผลงฤทธิ์ ซึ่งจริงๆ การแผลงฤทธิ์นั้น นั่นเป็นความโง่และเจ็บตัวเองทั้งสิ้น

แม่เป็นทุกข์มากที่ลูกมีนิสัยอย่างนี้ บางครั้งก็นึกโทษตัวเองว่า ไม่น่าสอนลูกในทางที่ผิดเลย ไม่น่าตามใจในสิ่งไม่ควรเลย เห็นความจริงว่า การขัดใจกลับสร้างคนให้เข้มแข็งมากกว่า แต่จะหักหาญทำอะไรลงไปมาก ลูกก็จะทนไม่ไหว แต่จากนี้ ต้องอดทนเพื่อจะเปลี่ยนลูกให้ได้ แม่ยังทุกข์ทุกครั้งที่ลูกไปทำผิด และแม่ก็เป็นทุกข์ทุกครั้งที่เริ่มฝืนใจลูกและลูกเป็นทุกข์

แต่แม่เห็นโทษภัยแล้วว่าปล่อยต่อไปลูกต้องติดคุกติดตะราง โดนลงโทษลงทัณฑ์แน่นอน แม่จึงยอมอุทิศทั้งชีวิตเพื่อจะเปลี่ยนลูกให้ได้ แม่เริ่มทำให้ลูกดีขึ้นด้วยการฝืนไม่ตามใจ ด้วยการให้กำลังใจ ด้วยการสอนให้เป็นคนดี ไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำ ลูกเริ่มมีความสุขขึ้น มีนิสัยที่เปลี่ยนไป

ลูกมีนิสัยใหม่จากการอดทนของแม่ แม่ภูมิใจในตัวของลูก ลูกเป็นคนดี ลูกไม่เกเร ลูกเป็นที่รักของผู้คนส่วนใหญ่ ลูกไม่เกรี้ยวกราด แม่สังเกตเห็นว่า นิสัยบางอย่างของลูกไม่สามารถเปลี่ยนได้ แต่ก็เป็นนิสัยส่วนตัวของลูก ไม่ได้มีปัญหากับใคร แรกๆ แม่ไม่เข้าใจ พยายามจะเปลี่ยนให้ลูกสมบูรณ์แบบอย่างที่แม่คิด แต่แม่เห็นว่านั่นกลับทำให้แม่ทุกข์เอง เมื่อลูกเป็นคนดีแล้วยังมีคนมาว่ามานินทาลูก แม่ก็ทุกข์

แม่เห็นว่าลูกไปได้ดีแล้ว ไม่มีอะไรน่าห่วงอีกแล้ว แม่จึงตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดคือ จากลูกไป หมดอาลัยในลูก หมดความยึดถือในความดีของลูก วันนั้นเอง ที่แม่มีความสุขที่สุด ที่เป็นอิสระจากสรรพสิ่ง

ใครเป็นแม่?…เรา ใครเป็นลูก…ก็เราไง แล้วใครจะไปจากใคร?
ถ้ายิ้มก็ใช้ได้ ถ้าคิ้วขมวดก็ปฏิบัติต่อไป



ตัวโอกาส

มีใครรู้จักตัวโอกาสบ้าง ตัวโอกาสมีลักษณะเฉพาะตัว

  1. ด้านหน้ามีขนยาว
  2. ด้านหลังผิวเรียบ มัน ลื่น ไม่มีขน
  3. เดินหน้าอย่างเดียวไม่มีถอยหลัง ไปแล้วไปเลยไม่มีหวนกลับ จนกว่าตัวใหม่จะมาใหม่


ดังนั้นหากเราต้องการจะจับตัวโอกาส มีทางเดียวคือดักจับมันตอนมันเดินเข้ามาใกล้ จนกระทั่งถึงตัวเรา แต่หากมันพ้นไปแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะไม่สามารถจับได้อีกเลย เพราะตัวมันลื่น ไม่มีขน และมันจะไม่กลับมาอีก ที่จะมีมาก็เป็นตัวใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาอีกครั้งเมื่อไหร่

เพราะเหตุนี้ โอกาสของชีวิตไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม เราอาจไม่รู้เลยว่าตัวโอกาสกำลังเดินมา แล้วกำลังจะผ่านไปแล้ว หากเราไม่คอยสังเกตหรือตัดสินใจให้ดี เราก็จะพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย

อย่างเรื่องเล่าในสมัยพุทธกาลเรื่องหนึ่ง ครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงเสด็จไปบิณฑบาตกับพระอานนท์ ได้ทอดพระเนตรเห็นขอทานแก่ชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างทาง พระองค์ทรงแย้มสรวล พระอานนท์จึงเดินเข้าไปทูลถามว่า มีอะไรหรือพระเจ้าค่ะ พระองค์จึงเล่าให้พระอานนท์ฟังว่า ขอทานแก่สามีภรรยาคู่นี้ สมัยก่อนเป็นลูกเศรษฐี ครั้นพอเศรษฐีตาย ได้รับมรดกเป็นทรัพย์เป็นอันมาก หากเขาทำมาหากินตั้งแต่ตอนนั้น บัดนี้เขาจะเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของอินเดีย ภรรยาก็จะเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของอินเดีย แต่หากเขาออกบวชวันนั้น เขาจะเป็นพระอรหันต์ ภรรยาจะเป็นพระอนาคามี

แต่เขาทั้งสองกลับไม่ทำอะไร กินใช้ในทรัพย์ที่มีอยู่ ด้วยคิดว่ามันมีมากจนไม่มีวันหมด ครั้นมาถึงวัยกลางคน หากทั้งสองเริ่มทำมาหากินในตอนนั้น สามีจะเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของอินเดีย ภรรยาจะเป็นมหาเศรษฐีอันดับสาม แต่หากทั้งสองตัดสินใจออกบวช สามีจะเป็นพระอนาคามี ส่วนภรรยาจะเป็นพระสกิทาคามี

ทั้งสองก็มิได้ทำอะไรจนกระทั่งถึงคราวที่อายุมากแล้ว ถ้าเขาตัดสินใจเริ่มทำงานในตอนนั้น เขาก็จะเป็นเศรษฐีอันดับสาม และภรรยาเป็นเศรษฐีอันดับสี่ แต่หากเขาออกบวช สามีจะเป็นพระสกิทาคามี ภรรรยาจะเป็นพระโสดาบัน

แต่เขาปล่อยเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ เขาหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว แม้แต่จะออกบวชก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะปล่อยตนเองจนแก่ชรา ไม่สามารถทำความเพียรใดๆ ได้อีก

น่าอนาถยิ่งนักกับเศรษฐีผู้กลายเป็นยาจก แต่นั่นยังไม่น่าเสียดายเท่าการพลาดโอกาสในการฟังธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรม เรามามองความจริงที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกว่า ต่อให้เป็นเศรษฐีอันดับไหนๆ ก็ตาม แล้วอย่างไรหรือ? ก็แค่มีกินมีใช้ยังชีพไปเท่านั้นเอง วันนี้ทุกคนตื่นแต่เช้าฝ่ารถติด ไปนั่งสร้างอกุศลบ้างกุศลบ้าง แล้วก็หาอะไรใส่ท้อง แล้วก็ฝ่ารถติดกลับมานอน เช้ารีบตื่น…แล้วก็ทำซ้ำเหมือนเดิม…ยิ่งถ้าชีวิตสร้างอกุศลด้วยโลภ โกรธ หลง สั่งสมไว้มากๆ นั่นคือขาดทุนแล้ว ในโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ สุดท้ายที่ว่าเพื่อเงินนั้นแม้สักบาทยังเอาติดไปไม่ได้ ที่ได้ไปด้วยก็มีแต่บุญทานการกุศลหรือบาปอกุศลที่จะเอาติดไปได้

ดังนั้นตัวโอกาสที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง คงไม่ใช่โอกาสทางธุรกิจหรอก เพราะหากเป็นนักธุรกิจตัวจริงคงไม่ประมาท ลงทุนเฉพาะแต่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น เขาคงจะต้องหาทางลงทุนใน “บริษัทข้ามชาติ” เอาไว้ด้วย

แต่ที่น่าเสียดายจริงๆ กลับเป็นโอกาสในการจะรู้แจ้งอริยสัจ 4 ต่างหาก เพราะวันนี้ คนไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญของชีวิตกันแน่


เขียนเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2555


บุญกุศล และอานิสงส์ของมนุษย์

นักปฏิบัติทุกคนกว่าจะมาภาวนากันในวันนี้ได้ ผ่านการทำบุญทำทานกันมามากมาย ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ได้ร่วมกันสร้างสาธารณประโยชน์ ได้สร้างเสนาสนะไว้ในพุทธศาสนา เพื่อให้ผู้คนได้เข้ามาศึกษาปฏิบัติ

วันนี้ด้วยความที่มนุษย์ทั้งหลายมุ่งเน้นการให้ทานเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น จิตใจที่ปรารถนาถึงความพ้นทุกข์ของผู้อื่น นี่จึงเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส โดยเฉพาะในส่วนของโมหะ ซึ่งเป็นความหลงผิดในความเป็นตัวตน ส่วนโลภะนั้นแน่นอน เมื่อเกิดการให้ก็เกิดการแบ่งปัน มันเป็นการลดละขัดเกลาความตระหนี่ลงไป

เมื่อจิตที่ตั้งไว้ไม่ใช่เพื่อตนเอง นั่นจึงทำให้อานิสงส์แห่งบุญยิ่งใหญ่ ประกอบกับมนุษย์มีกายหยาบ มีทุกขเวทนามากกับกายหยาบนี้ ไม่ว่าจะเวทนาอันเกิดจากความหิว จากความเหนื่อยยาก จากความทนทุกข์ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ มนุษย์จะทำอะไรจึงต้องมีความเพียรมาก ซึ่งมากกว่าในภพภูมิที่มีกายละเอียดมีทุกข์น้อย เวลามนุษย์ตั้งจิตเอาไว้ที่การสละออกซึ่งตัวตน อานิสงส์แห่งบุญจึงมากมายมหาศาล ในทางกลับกัน ในการวางแผนเพื่อทำบาปทำชั่ว คน (ไม่ใช่มนุษย์) จึงต้องรับผลแห่งบาปมหาศาลเช่นกัน

เมื่อทำบุญช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ให้ตั้งจิตไว้ที่การช่วยคน อย่างน้อยทำให้เขาบรรเทาเบาคลายจากความทุกข์บ้างเท่าที่เราจะทำได้ ไม่ใช่ทำเพราะเราจะได้บุญ

เมื่อจะใส่บาตร ก็มีความรู้สึกว่าอาหารที่เราได้ใส่ลงไปนั้นคงจะมีส่วนให้พระสงฆ์ท่านได้มีชีวิตสืบไป ซึ่งนั่นจะส่งผลให้พระพุทธศาสนาได้ยาวนานออกไป และเป็นภาพที่ผู้ได้พบเห็นจะชื่นใจในการให้ จะสืบสานสิ่งดีงามสืบต่อไปถึงลูกหลาน ไม่ใช่ทำเพราะเราจะได้บุญ แต่เป็นการทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง

เมื่อสร้างเสนาสนะ ศูนย์ปฏิบัติธรรมหรือสาธารณสถานเช่นโรงพยาบาล ฯลฯ ก็ตั้งจิตว่าสถานที่เหล่านั้นจะยังประโยชน์ให้กับผู้คนได้พ้นไปจากทุกข์ทางกายในโรงพยาบาล ใจก็จะสบายขึ้น ได้พ้นจากทุกข์ทางใจในสถานปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ระดับสบายใจจนถึงขั้นหลุดพ้นถึงที่สุด ไม่ใช่ทำเพราะเราจะได้บุญ

ถ้าทำอย่างนี้การให้จะเป็นไปเพื่อให้ ไม่มีตรงไหนวกกลับมาเอา เมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จ ล้างห้องน้ำให้สะอาดเพื่อให้คนอื่นได้ใช้ห้องน้ำที่สะอาด ไม่ใช่ทำเพราะเราจะได้บุญ ทำที่บ้านทำที่ทำงานที่ไหนก็ได้ เพราะทำให้คนอื่นได้ใช้ห้องน้ำสะอาด ใจจะเป็นบุญโดยไม่ต้องเอา เพราะถ้ามัวคิดแต่จะเอา เราทำท่าจะเป็นเปรตแทน

ไม่มีตอนไหนที่จะพูดว่า “ทำเพราะได้บุญ” บุญที่ได้คือ เมื่อลดตัวตนลง ตอนนั้นจึงเป็นบุญ เมื่อใจไม่ได้ทำเอาบุญ ไม่ได้หวังจะได้บุญ นั่นจึงจะเป็นบุญ นั่นจึงจะเป็นการให้ที่บริสุทธิ์

ส่วนเมื่อทำแล้วสบายใจ ก็ดีที่ทำแล้วสบายใจมีความสุข นั่นก็เป็นผลแห่งบุญ แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่ได้ทำเพื่อให้ใจสบายหรือมีความสุข ทำเพื่อช่วยคน คนที่เขากำลังลำบาก เราไปช่วยให้เขาได้พ้นทุกข์ คงไม่กล้าคิดที่จะไปแอบแฝงเอาความสุขจากคนที่กำลังลำบาก ตั้งจิตให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นทำไปก็เอาอีก ไม่ใช่พอไม่เอาบุญ ก็ไปแอบเอาสุขอีก จิตอาสานั่นน่ากลัว เพราะคนไปโปรโมทกันว่าทำแล้วมีความสุข วันไหนงานไหนทำแล้วไม่สุขก็ไม่ทำ ถ้างานช่วยคนนั้นมันลำบากก็ไม่อยากทำ

ตอบคำถามนี้ดูนะ ถ้าท่านเป็นผู้ที่ต้องช่วยคนทุกๆ วัน วันแรกๆ ท่านคงจะมีความสุขใจที่ได้ทำ แต่หลังจากนั้นจากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลายๆ ปี ท่านคิดว่าท่านจะยังคงสุขเหมือนเดิมอยู่ไหม (นักปฏิบัติผู้เห็นอนิจจังก็จะเห็นถึงการเข้าสู่อุเบกขาในที่สุด) ถึงตอนนั้นคนทั่วไปจะมองว่าหมดความสุขจากการให้ จากการช่วยคนแล้ว ถามว่า จะยังทำอยู่อีกไหม? เพราะถ้าทำเพื่อตัวเองมีความสุข จะหมดแรงที่จะทำไม่อยากทำแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าทำแล้วตัวเองต้องลำบากล่ะ? จะทำไหม?

การช่วยคนต้องทุ่มเททั้งกำลังกายกำลังใจ พลังสมองและพลังปัญญา เหนื่อยนะ…เพราะฉะนั้นต้องไม่ทำเพื่อตัวเองสุข และไม่เคยหวังอะไรจากการกระทำ แม้แต่จะบอกว่าทำแล้วตัวเราสบายใจก็ยังไม่มี แต่ทำเพื่อผู้อื่นพ้นทุกข์มากน้อยเท่าที่ทำได้ ไม่หยุดเพราะ “กูเหนื่อย กูพอแล้ว” แต่บางทีก็พักบ้างเพื่อเดินหน้าต่อไป

เลิกทำเอาบุญ…เลิกไปทำบุญเพื่อตัวเอง เมื่อนั้นจึงจะเป็นบุญ บุญนั้นจะเป็นเหตุปัจจัยให้ถึงซึ่งพระนิพพาน เพราะพระนิพพานนั้นไม่ได้ทำเพื่อพอกพูนตัวตน แต่ทำเพื่อหมดตน หมดตน ก็จะทำเพื่อผู้ที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ผู้มีความทุกข์ได้พ้นจากทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ นั่นแหละจะพ้นบุญ แต่ไม่หยุดทำบุญ เพราะไม่ทำเอาบุญ บุญเต็มแล้ว…ก็พ้นไป


เขียนเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2555


ซื้อของให้ผู้อื่น…ได้บุญ ซื้อของให้ตนเอง…ไม่ได้บุญ

การซื้อของให้ตนเอง อย่างเช่นเดินช้อปปิ้ง ซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าให้ตัวเองนั้น เป็นการเพิ่มพูนโลภะ โมหะ เพราะเมื่อเกิดความยินดีพอใจในสิ่งนั้นๆ ขณะนั้นราคานุสัยได้สั่งสมเป็นเชื้อต่อไปให้อวิชชาตลอดทุกๆ ครั้ง (นอกจากซื้อเพราะจะใช้ ไม่มีตัณหาเลย ถ้าอย่างนี้ยกเว้น)

ส่วนการซื้อของให้ผู้อื่น จะเกิดความรู้สึก 2 ด้าน คือ

  1. เสียดายเงิน ถ้าต้องซื้อก็เอาแค่พอเหมาะๆ ใครเป็นอย่างนี้ก็จะได้การชำระความตระหนี่ถี่เหนียวลงบ้างแล้ว แต่ถ้าซื้อให้ลูกให้แฟนล่ะก้อเต็มที่ พวกนี้ต้องระวังการพอกพูนอวิชชาคือโมหะ เพราะจะมีตัวตนมากขึ้น ดูได้อย่างไร ลองดูสิ ถ้าเห็นเขาชอบสิ่งที่เราซื้อความรู้สึกเป็นอย่างไร ถ้าเขาแสดงอาการไม่ชอบสิ่งนั้นเลยความรู้สึกเป็นอย่างไร ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ซื้อหรือไม่ซื้อ ปัญหาคือซื้อแล้วเสียเงินแล้วโง่ ได้บาปมาด้วยไหม
  2. ซื้อให้คนอื่น ตั้งแต่ผู้ที่เราเคารพศรัทธาจนถึงคนทั่วไปและสุนัขหมาแมว การซื้อจะเบาจิตเบาใจ มีความสุขโชยๆ ที่ได้ให้ คนประเภทที่ทำบ่อยๆ จะรู้เองว่าจิตใจขณะนั้นรู้สึกเป็นกุศล แต่ถึงแม้ว่าจะมีความตระหนี่ปนอยู่บ้าง นั่นก็ยังคงได้ชำระกิเลสอยู่ดี แต่ในข้อนี้ ก็ยังมีความต่างของบุคคลอีก คือความปราณีตในของที่ให้


ยกตัวอย่าง คนชอบซื้อแบรนด์บ้าง สก็อตบ้างเพื่อมอบให้คนอื่น (ไม่มีใครซื้อกินเองนะ น้อยมากที่จะซื้อกินเอง) ในการซื้อให้ผู้อื่น คนส่วนใหญ่ก็จะให้ดูดีคือเป็นกระเช้า มากเข้าไว้ (นั่นระวังแฝงให้ตัวเราดูดี) แต่ยังไงจะมีตัวตนก็ไม่เกี่ยวนะ จะให้ก็ต้องให้ จะเห็นตัวตนก็ให้ เพราะการให้เป็นสิ่งดี ตัวตนให้ไปชำระไป อย่าโง่ หยุดให้ล่ะ

มีบางคนที่จะมองหาแต่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอๆ เช่น ถ้าแบรนด์ก็จะขวดใหญ่ที่สุด ถ้าปลากระป๋องก็ต้องอะยัม ถ้าจะมอบหรือถวายพวงมาลัยต้องใหญ่สวยงามวิจิตร ตรงนี้เป็นความละเอียดปราณีตของผลบุญอันก่อเกิดเป็นอานิสงส์มากขึ้นไปอีก ให้อะไรๆ ก็ต้องดีที่สุดเสมอ เมื่อเกิดแรงสะท้อนกลับก็คือได้อะไรๆ ก็จะได้ดีที่สุดเสมอเช่นกัน ถ้าเอาอะไรก็ได้ กระจอกหน่อยก็ได้ ปลากระป๋องเอาถูกๆ ก็พอ ยิ่งลดราคายิ่งดีได้เยอะดี นั่นก็จะได้แรงสะท้อนเช่นเดียวกันกับความตั้งใจ ชีวิตใครให้อะไรมาก็จะได้แต่ของถูกๆ ไม่เคยได้ของดีเลย ใครให้อะไร ก็มีแต่ของที่เขาไม่ใช้ ของลดราคาบ้าง ของมือสองบ้าง (ถ้าเป็นผู้ไม่ยึดก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ เพราะท่านนั้นได้มา ถ้าต้องใช้ก็ใช้ ถ้าไม่ใช้ก็ให้ผู้อื่นต่อไปอีก)

สรุปความเอาคร่าวๆ ก็คือ ซื้อให้ตัวเองไม่ได้บุญ ซื้อให้คนอื่นได้บุญ ดังนั้นซื้อให้ตัวเองซื้อเท่าที่ใช้ ซื้อเท่าที่จำเป็นก็พอ ส่วนซื้อให้ผู้อื่นนั้น หากประกอบด้วยปัญญามีแต่ได้กับได้ แต่ไม่ได้ทำเพราะอยากได้บุญ

กินข้าวเสร็จ ซื้อขนมติดมือไปให้คนที่เราไม่รู้จักบ้าง คนที่เขาขาดแคลนบ้าง สุนัขอดอยากบ้าง ทำทุกวันจะได้ไม่ต้องนั่งตกนรกกับงานที่ขนาดเงินเดือนก็ได้รับ แต่กลับหาความสุขใจไม่ได้เลยในแต่ละวัน ไม่มีบุญกุศลอะไรติดไม้ติดมือไปเลย เมื่อถึงตอนจบของชีวิต สั่งสมไปอย่างเดียวคือนรก คุ้มแล้วหรือที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่กว่าจะได้เป็นแสนยากเย็น

หากเป็นอย่างนั้น ถ้าท่านมีเพื่อนที่มีศีลมีธรรมเป็นผู้ให้ ใฝ่ปฏิบัติ บอกลาเขาได้เลย นี่อาจจะเป็นชาติสุดท้ายที่จะได้เจอกัน เพราะคนหนึ่งจะถูกพัดไปตามผลแห่งอกุศลวิบาก อีกคนเดินหน้าสู่มรรคผล ซึ่งถึงแน่ ไม่นานเกินรอ (เพราะไม่เคยรอ และไม่ได้หวัง แต่เป้าหมายมี)

บุญเกิด เมื่อให้ หรือเกิดเมื่อเสร็จ
ทำบุญใส่บาตร ได้บุญตอนไหน?

ตอนคิดจะให้ เริ่มไปซื้อของ ตื่นเช้ามาจัดเตรียม ยืนรอ พระมาจึงนิมนต์ เอาของที่เตรียมมาใส่บาตร ทุกขั้นตอนเป็นบุญทั้งหมด ทำไมหรือ? หรือคิดว่าพระต้องฉันสเราถึงได้บุญ ถ้าท่านเอาของเราไปขาย เราไม่ได้บุญ แถมเป็นการส่งเสริมการกระทำที่ผิด เราบาป ถ้าคิดอย่างนี้ จะบาปจริงล่ะ เพราะคิดด้วยอำนาจอวิชชาคือความไม่รู้ อยู่ๆ ก็สร้างผู้ทุกข์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ของเป็นบุญคิดจนบาปนี่ล่ะคน ทีของบาปจะคิดเป็นบุญ แบบนี้ยิ่งคิดยิ่งบาปเพราะมิจฉาทิฏฐิ

อย่าหลงให้มาก บุญคืออะไร? คือการชำระกิเลส เมื่ออาหารใส่ลงไปในบาตรส ก็เป็นอันจบหน้าที่แล้ว บุญได้แล้ว ได้มาตลอดแล้ว หากมารู้ว่าท่านเอาทานที่ได้ไปทำสิ่งไม่สมควร เราก็เลือกทำกับพระสุปฏิปันโนสิ การกระทำก็จะประกอบด้วยปัญญาเพิ่มขึ้นไปอีก นี่ก็สามารถนำไปเทียบเคียงกับการให้ในส่วนอื่นๆ ได้ เช่น ให้คนยากไร้ ให้ผู้ด้อยโอกาส ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก จบที่การให้ไม่ยึด ปล่อยวางความดี แต่ไม่หยุดทำความดี ทำเพื่อผู้อื่น

การทำบุญสร้างเสนาสนะก็เช่นกัน ตอนท่านพุทธทาสยังมีชีวิต คนถามท่านว่า มหรสพทางวิญญาณที่ท่านสร้างอยู่จะเสร็จเมื่อไหร่ (ตอนนั้นยังไม่มีหลังคาเลย) ท่านบอกว่า “เสร็จแล้ว” คนงง…ที่ท่านสร้างอยู่นั่นเสร็จแล้ว เสร็จไปทุกวัน จบไปทุกขณะ ไม่ได้ยึดอะไร

เช่นกันผู้ให้ได้ให้แล้ว ผู้สร้างได้สร้างแล้ว สร้างเสร็จไปทุกวัน ต่อให้คนสร้างตายก่อน เขาก็ทำเสร็จแล้ว ต่อให้สร้างแล้วไม่เสร็จเพราะเหตุปัจจัยใดๆ หรือจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้น ผู้สร้างก็ได้ทำจนสุดความสามารถแล้ว หากยังมีโอกาสทำก็ทำต่อไป ไม่มีโอกาสทำก็วางลง จะทุกข์กับอะไร ผู้ให้ได้บุญแล้ว (ได้ชำระตั้งแต่วันที่ให้แล้ว) ผู้ทำก็ได้ทำแล้วอย่างเต็มที่ (บุญที่ได้แล้วเช่นกัน) สามารถทำให้เสร็จได้ก็เสร็จ ไม่สามารถทำให้เสร็จได้ก็เสร็จ (แล้ว)

หากรู้จักวาง มีสัมมาทิฏฐิ มีมุมมองต่อชีวิตที่ถูกต้อง จะไปทุกข์ได้อย่างไร ชีวิตมีแต่ความสงบเย็น สำคัญที่สุดคือ สัมมาทิฏฐินั่นเอง


เขียนเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2555


ความเป็นกู เป็นของกู…

เราทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันทุกคนที่บดบังสิ่งดีๆ ที่เป็นกุศลในตัวของทุกๆ คน ถ้าจะพูดว่าตัวกู โมหะมันก็ฟังเป็นตัวหนังสือ ไม่เข้าใจ

พ่อแม่เลี้ยงดูแลลูก ให้เงินลูก เชื่อไหมว่าวันแรกที่ลูกได้เงินลูกจะรู้สึกว่าพ่อแม่ดีกับเรา รักเรา แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักเดียว โมหะจะครอบงำทั้งหมด จะกลายเป็นพ่อแม่มีหน้าที่ต้องให้เงินเรา ถ้าวันไหนพ่อแม่มีไม่พอ วันนั้นพ่อแม่โกงเงินส่วนของเราไป…เงินที่พ่อแม่ให้ ไม่เป็นไปเพราะความรักเมตตาต่อลูกแล้ว แต่มันกลายเป็นเงินของกู (ในมุมมองลูก)

วันแรกที่บริษัทหรือหน่วยงานรับท่านเข้าทำงาน วันนั้นเท่าไหร่ก็ได้ ยังไงก็ได้ เขาใจดีนะที่ให้เราเข้ามา เงินเดือนเดือนแรกคือสิ่งที่เราไม่เคยได้มาก่อน นี่เป็นสิ่งที่ได้เพิ่มมาจากชีวิตของเรา แต่จากนั้นไม่นานมันคือของกู กูขาดมันไม่ได้ แถมยังควรให้ให้มากกว่านี้ เพราะธรรมชาติของโลก เมื่อสิ่งนี้เพิ่มเข้ามามันจะสร้างเหตุปัจจัยใหม่เพื่อให้สมดุลกับสิ่งใหม่นั้น แต่คำว่าสมดุลมันก็ไม่สมดุลหรอกเพราะมีโลภะ มีตัณหา มันจึงทะยานขึ้นไปเกินกว่าที่ควรเป็น เมื่อมีเหตุให้ไม่ได้เงินนั้นมา ก็กลายเป็นสภาพทุกข์เพราะไปสร้างสมดุลใหม่ไว้ที่เงินก้อนนั้นอีก นี้จึงเป็นความประมาท

วันไหนที่เอาเงินไปลงทุนทำอะไร ครั้งแรกจะรู้สึกว่าได้มาฟรีๆ แต่พักเดียว หากมันน้อยกว่าที่เคยได้ มันก็จะทุกข์ดิ้นรน เพราะเงินนั้นถูกยึดเป็นของกูไปเสียแล้ว ใจไม่สงบอีก

คนจนได้เงินเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ดีใจมาก
คนรวยได้เงินเพิ่มขึ้นมามาก ดีใจน้อย
คนรวยเสียเงินแม้เพียงเล็กน้อย ทุกข์ใจมาก

ไม่มีใครพ้นไปจากความเป็นทาส “เงิน” เศษกระดาษที่ไม่ถึงครึ่งกระดาษเอ 4 ให้ค่าบ้าตัวเลขในสมุดบัญชีกัน จนนั่งยิ้มหรือหน้าเศร้าไปกับเศษกระดาษที่มาเย็บเป็นเล่มที่ไม่ถึงขนาดเอ 4 อีกเช่นกัน เมื่อทุกอย่างในโลก ถูกดึงมาเป็นกูเป็นของกู ก็ถึงเวลาแห่งความทุกข์ต่อไป Showtime!


เขียนเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2555


ความรักกับความเมตตา

เรารักลูก รักครอบครัว รักสามี รักภรรยา อย่างนี้คุ้นเคย เข้าใจโดยไม่ต้องทำความเข้าใจ

เด็กผู้หญิงอ้วนจ้ำม่ำน่ารัก ฉอเลาะ ช่างพูด ขี้อ้อน กับเด็กซูดานดำ ผอมเกร็ง ผิวพรรณหยาบกร้าน ยืนคู่กัน ท่านจะอุ้มคนไหน?

ท่านว่าท่านอุ้มเด็กผู้หญิงน่ารักนั่นเพราะอะไร?…เพราะเขาน่า…รัก ท่านอยากอุ้มเด็กซูดานไหม? ทำไม เพราะเขาไม่น่ารัก

นั่นเพราะท่านใช้ “รัก” เป็นเครื่องมือวัด

ถ้าท่านเป็นผู้มีใจเมตตา เด็ก 2 คนนี้จะต่างกันไหม?…ไม่เลย

รักต่างจากเมตตานะ

รักร้อน ผูกพัน ยึดมั่น ปรารถนา ต้องการ ซึ่งนั่นนำไปสู่ทุกข์
เมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขา เย็น สงบ ไม่ลำเอียง ให้แล้วสงบสุข

เมื่อถอดถอนอุปาทาน เกิดสัมมาทิฏฐิ ความรักจะกลายเป็นความเมตตา เป็นการให้โดยส่วนเดียว ไม่หวังผล ไม่ว่าจะ ลูก สามี ภรรยา ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมทาง เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราจะเป็นผู้ให้โดยส่วนเดียว ทำดีที่สุดในทุกๆ เวลาที่ทำให้ได้ เราให้โดยส่วนเดียวและทำอย่างดีที่สุด

จงมีชีวิตเพื่อผู้อื่น ทำความดีจนพ้นจากดีไป แต่ไม่เลิกกระทำความดีเพื่อทุกคน


เขียนเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2555


ตาย

ช่วงที่ผ่านมาได้พบกับการตายอยู่เรื่อย ที่เพิ่งผ่านมาก็เป็นญาติคนหนึ่งเป็นลุง อายุ 84 ปี เป็นปราชญ์เก่งมาก วันที่ญาติพาไปโรงพยาบาลอาการก็ไม่ค่อยดี แต่เชื่อเถอะว่าไม่ว่าใครก็ตาม ไม่มีใครคิดว่าตัวเองจะตายหรอก จะรู้สึกว่าเดี๋ยวก็ได้กลับบ้าน พอไปอยู่โรงพยาบาล ทุกคนที่ป่วยก็จะพูดแต่อยากกลับบ้าน เพราะจะคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวก็หาย ถึงไม่บอกเองคนอื่นก็คอยบอกให้ เพราะรู้ว่าถ้าพูดอย่างนี้แล้วจะสบายใจ ทั้งที่จะหายหรือไม่หาย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาปรุงคำขึ้นมาพูดเลย

ชีวิตนี้เราป่วยกันมากี่ครั้งแล้วล่ะ (นับครั้งไม่ถ้วน) พอป่วยแล้วเคยตายไหม?…พูดแปลกๆ จะตายได้ไง ถ้าตายจะมานั่งอ่านอยู่นี่หรือ?

ใช่…นั่นนะสิ เพราะเราไม่เคยตายตอนป่วยสักที แล้วทำไมมันถึงจะเป็นครั้งนี้ล่ะ? ดังนั้นทุกคนที่ไม่ได้ฝึกมรณสติไว้ ไม่เคยปฏิบัติ มันจะเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมา แล้วก็จะปลอบใจตัวเอง จิตตก ใครก็ได้ช่วยมาโกหกบอกว่า “ไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวก็หาย” แค่หลอกๆ อย่างนี้ก็ยังดี

ผู้ป่วยจะกระอักกระอ่วนมาก ไม่กล้าคิดเรื่องตายหรอก จึงวีนใส่หมอและพยาบาลตลอดเวลาที่ตื่นมารู้สึกตัว จนหมอต้องให้ยานอนหลับ น่าเห็นใจจริงๆ แต่ก็น่ากลัวนะแบบนี้ คนเก่งในทางโลก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีปัญญาในการพ้นทุกข์

ส่วนอีกรายเป็นเด็กอนุบาลนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน วัยรุ่นทะเลาะกัน คนหนึ่งวิ่งเข้าบ้านไปเอาปืนลูกซองออกมายิงคู่อริ แต่ยิงก็คงไม่เป็น ประกอบกับอารมณ์โทสะ ลูกปืนพุ่งไปเจาะหัวเด็กน้อยผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย…ตาย ท่านที่มีลูก คงนึกออกว่าตอนนี้พ่อแม่เด็กน้อยนั้น จะรู้สึกอย่างไร

โลงไม่ได้มีไว้ใส่คนแก่ สุภาษิตจีนเขาว่า แล้วก็ไม่มีไว้ใส่เด็กเท่านั้น โลงมีไว้ใส่เรา วันสุดท้ายมาถึงแน่

ทำอะไรคิดเผื่อตายไว้มั่ง ชาติหน้ามีจริงนะ


เขียนเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2555


ปีใหม่ไปไหนมาบ้าง

หนูไปเชียงใหม่ ได้ไปดอยอินทนนท์ ไปชมงานพืชสวนโลก ดอกไม้สวยมาก ไปกินอะไรอร่อยๆ เยอะเลย ชอบมาก

แล้วชอบที่ไหนล่ะ?

ดิฉันไปอินเดีย ไป 4 สังเวชนียสถาน ไปนั่งสมาธิ เดินจงกรมที่ใต้ต้นโพธิÏมา มีความสุขมาก ชอบจัง อยากไปอีก

แล้วชอบที่ไหนล่ะ?

ผมไม่ได้ไปไหนเลย อยู่บ้าน ผมไม่ได้พักเลย ทำงานมาทั้งปี คิดว่าอยู่บ้านดีกว่า แต่ก็ไปมาแทบทุกห้างดังเลย ในกรุงเทพถนนว่างดี ไปไหนรถก็ไม่ติด

แล้วชอบที่ไหนล่ะ?

“…ชอบที่ใจ”

เพราะไม่รู้ว่ามันชอบที่ใจ จึงไปหลงชอบสถานที่ข้างนอก ถ้ารู้ว่ามันชอบที่ใจ จะชักสงสัยว่าแต่ละคนไปแต่ละที่ แต่ทำไมชอบเหมือนกันที่ใจ เพราะจิตโง่ ไม่รู้อริยสัจ

ขอทานมีคนใส่ให้ 100 บาท มีความสุข คนรวยได้หุ้นมา 500,000 บาท มีความสุข คิดว่า 2 คนนี้สุขเท่ากันไหม? หรือเศรษฐีได้มากกว่า เลยสุขมากกว่า

สุขอยู่ที่ไหน? นั่งเลียของเกิดดับอยู่นั่นล่ะ
ไปปฏิบัติได้แล้ว รู้ลมซะ อย่ามัวเลียซาก


เขียนเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555


โลกนี้มีอยู่แค่ตอนนี้ จะสุข จะทุกข์ จะอุเบกขา ก็อยู่แค่ตอนนี

ถ้ากำลังกังวลเรื่องที่กำลังจะมาถึง…เปลี่ยนความกังวลเป็นลมหายใจ แล้วมีความสุขกับชีวิตที่ยังมีอยู่ (ก่อน)

ถ้ากำลังโศกเศร้าเสียใจอยู่กับอดีต…เปลี่ยนความโศกเศร้าเสียใจเป็นลมหายใจ แล้วมีความสุขกับชีวิตที่ยังมีอยู่ (ก่อน)

กลับมาอยู่กับจิตที่เป็นอุเบกขาคือความสงบ ทุกปัญหาเราแก้ได้ตามที่แก้ได้ แค่ทำให้ดีให้เหมาะสมในแต่ละเวลา

จะไปห่วงอะไร อนาคตเป็นแค่สิ่งที่เราปรุงแต่งวาดภาพเอาเอง เหตุปัจจัยที่จะทำให้มันเป็นไปมีมากมายเหลือเกิน คิดได้วางแผนได้ ทำเสร็จแล้วจบ กลับมาอยู่กับลมไว้ ทำแค่นี้ได้ จะเป็นประตูสู่หนทางอันเกษม

เห็นความจริงตามความเป็นจริง อย่าดูโลกภายใต้ความปรุงแต่งที่ “เรา” ปรุงมันขึ้นมาเอง

เชื่อเถอะว่า เรารับได้ทุกอย่างแหละ ถ้าเอา “เรา” ออก


เขียนเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2555


องคุลิมาล เรื่องที่เราไม่เคยได้ยิน

เรื่ององคุลิมาล เราทั้งหลายคงเคยได้ยินกันในเรื่องที่ท่านฆ่าคน 999 คน แต่พระพุทธเจ้าเข้ามาขวางไว้ ไม่เช่นนั้นคนที่ 1,000 จะเป็นแม่ของท่าน จนท่านออกบวช บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ส่วนนี้คงเคยได้ยินกันมาบ่อยๆ ลองมาดูประเด็นในส่วนที่เราไม่เคยได้ยินกัน และเป็นประเด็นที่หลายคนอาจสงสัย ซึ่งสมัยพุทธกาลเองก็มีผู้สงสัย และผู้ที่เฉลยข้อสงสัยเหล่านั้นก็คือพระพุทธองค์เอง


เมื่อได้พบพระพุทธเจ้า องคุลิมาลจึงขอบวช

“…องคุลิมาล เราได้หยุดแล้ว ส่วนตัวเธอยังไม่หยุด คือยังไม่หยุด” องคุลิมาลได้ยินพระสุรเสียงอันแจ่มใส พระดำรัสที่คมคายเช่นนั้น ก็เกิดใจอ่อน รู้สึกสำนึกผิดได้ทันที แล้ววางดาบทิ้งธนู สลัดแล่งโยนทิ้งลงเหวที่หุบเขา เข้าไปถวายบังคมพระบาทยุคลของพระพุทธองค์ ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาส โดยได้ทรงพิจารณาเห็นว่า องคุลีมาลนั้นถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยและได้เคยถวายภัณฑะ คือ บริขารแปด แก่ท่านผู้มีศีลในปางก่อน ก็ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออกจากบังสุกุลจีวร เปล่งพระสุรเสียงตรัสเรียกว่า “เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” พร้อมกับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นนั่นเอง เพศคฤหัสถ์ขององคุลีมาลนั้นก็อันตรธานไป บรรพชาและอุปสมบทก็สำเร็จ…พระบรมศาสดาก็เสด็จพาองคุลิมาลภิกษุไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถี


พระเจ้าปเสนทิโกศลได้พบภิกษุองคุลิมาล

สมัยนั้น หมู่มหาชนก็มาชุมนุมกันอยู่ที่ประตูพระราชวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล ส่งเสียงร้องทุกข์กับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า “ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า ฆ่าคนโดยไม่มีความกรุณา องคุลิมาลโจรนั้น เข่นฆ่าพวกมนุษย์แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงแขวนคอไว้ ขอพระองค์จงกำจัดมันเสียเถิด” ดังนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้เสด็จเคลื่อนพลออกจากนครสาวัตถี ด้วยกระบวนม้าประมาณ 500 เสด็จเข้าไปยังพระเชตวันมหาวิหารแต่ยังวันทีเดียว เสด็จไปด้วยพระยานจนสุดทางที่ยานจะสามารถไปได้แล้ว เสด็จลงจากพระยานแล้ว ทรงพระราชดำเนินด้วยพระบาท เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน ออกมาจับโจรชื่อว่าองคุลิมาล”

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ดูกรมหาราช ถ้ามหาบพิตรทอดพระเนตรเห็นองคุลิมาล เป็นผู้ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการพูดเท็จ ฉันภัตตาหารหนเดียว ประพฤติพรหมจรรย์ พระองค์จะทรงกระทำอย่างไรกับเขา?”

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตรัสว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะพึงทำความเคารพ จะจัดถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร หรือก็จะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองอย่างเป็นธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่องคุลิมาลโจรนั้น เป็นคนทุศีล มีบาป จะมีความสำรวมด้วยศีลถึงอย่างนั้นได้อย่างไร?”

ขณะนั้น ท่านพระองคุลิมาล นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์เบื้องขวาขึ้นชี้ ตรัสบอกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า “ดูกรมหาราช นั่น องคุลิมาล”


ความลำบากในการบิณฑบาตและอุบายของพระพุทธเจ้า

หลังจากที่พระองคุลิมาลได้บวชแล้ว ท่านก็ได้รับความลำบากในเรื่องการบิณฑบาต แรกๆ ท่านก็ออกบิณฑบาตภายนอกพระนคร แต่พวกชาวบ้านพอเห็นท่านแล้ว ย่อมสะดุ้งบ้าง ย่อมหนีเข้าป่าไปบ้าง ย่อมปิดประตูบ้าง บางพวกพอได้ยินว่า องคุลิมาลก็วิ่งหนีเข้าเรือนปิดประตูเสียบ้าง

พระพุทธองค์ทรงพระปริวิตกเกี่ยวกับเรื่องพระเถระลำบากด้วยภิกษาหาร เพื่อจะสงเคราะห์พระเถระนั้นโดยการลดความหวาดกลัวของประชาชนลง พระองค์จึงทรงมีพระประสงค์จะให้พระเถระแสดงสัจจกิริยาอนุเคราะห์แก่สตรีผู้เจ็บครรภ์ เพื่อให้ชนทั้งหลายเห็นว่า บัดนี้พระองคุลิมาลเถระกลับใจมีเมตตาจิต กระทำความสวัสดีให้แก่พวกมนุษย์ด้วยสัจจกิริยา ฉะนั้นชนทั้งหลายย่อมคิดว่าควรเข้าไปหาพระเถระ ต่อแต่นั้นพระเถระก็จะไม่ลำบากด้วยภิกษาหาร

พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “ดูกร องคุลิมาล ถ้าอย่างนั้น เธอจงเข้าไปหาสตรีนั้นและกล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดมาแล้ว จะได้รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์จากชีวิตหามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด”

พระองคุลิมาลกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์กล่าวเช่นนั้น ก็จะเป็นว่าข้าพระองค์กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่เป็นแน่ เพราะข้าพระองค์แกล้งปลงสัตว์เสียจากชีวิตเป็นอันมาก”

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ดูกร องคุลิมาล ท่านอย่าถือเอาเหตุนั้นเลย นั่นไม่ใช่ชาติของท่าน นั่นเป็นเวลาเมื่อเป็นคฤหัสถ์ ธรรมดาคฤหัสถ์ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง ย่อมกระทำอทินนาทานเป็นต้นบ้าง แต่บัดนี้ ชาติของท่านชื่อว่า อริยชาติ เพราะฉะนั้นท่านถ้ารังเกียจจะพูดอย่างนั้น ท่านจงเข้าไปหาสตรีนั้น แล้วกล่าวกับสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วในอริยชาติ จะได้รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์เสียจากชีวิตหามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด”


องคุลิมาลบรรลุธรรมได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ฆ่าคนมามากมาย

แต่พระประสงค์ของพระพุทธองค์ในการที่จะให้พระเถระกระทำสัจจกิริยาด้วยถ้อยคำดังกล่าวข้างต้น ด้วยทรงมีพระพุทธประสงค์อีกประการหนึ่งก็คือ ในอดีตตั้งแต่พระเถระพรรพชาแล้ว ท่านก็เพียรในสมณธรรม แต่เมื่อขณะที่พระเถระกระทำกัมมัฏฐานนั้น ท่านไม่สามารถทำความสงบให้เกิดขึ้นแก่จิตได้ ด้วยภาพแห่งการกระทำที่ในดง เช่น การฆ่าพวกมนุษย์ ภาพการโอดครวญวิงวอนของเหล่ามนุษย์ที่ท่านกำลังจะฆ่า ว่าข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจ ข้าพเจ้ายังมีบุตรเล็กๆ อยู่ โปรดให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิดนาย ภาพความวิการแห่งมือและเท้าก็ดีของคนเหล่านั้น ดังนี้ ย่อมมาสู่จิตของท่าน จนท่านไม่สามารถกระทำสมณธรรมได้ ต้องลุกไปเสียจากที่นั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ให้พระเถระกระทำสัจจกิริยาโดยชี้อริยชาติ ด้วยทรงเล็งเห็นว่า พระองคุลิมาลที่เคยทำผิดทำบาปมานั้นเป็นคฤหัสถ์และได้จบไปแล้ว พระเถระไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องในเมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ ขันธ์เกิดดับอยู่ตลอด แต่ให้ท่านได้มีความเข้าใจว่าท่านเกิดใหม่ในอริยชาติแล้ว ทุกคนเคยทำมาทั้งกุศลและอกุศล ถึงวันนี้แล้วท่านเข้ามาถือศีลทำกุศลโดยส่วนเดียว ละความยึดถือในอกุศลเพราะมันผ่านมาแล้ว ไม่สามารถแก้ไข เมื่อท่านเห็นความจริงดังนี้แล้วเจริญวิปัสนาก็จักละวางอกุศล ไม่ยึดถือ พ้นการเห็นผิดในความเป็นอัตตาตัวตน จักบรรลุพระอรหันต์ได้เพราะละซึ่งอุปาทานขันธ์

ต่อมาภิกษุองคุลิมาลก็หลีกออกจากคณะ ไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ผู้เดียว ไม่นานเท่าไรนัก ท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์


องคุลิมาลตายแล้วไปไหน

เมื่อครั้งพระเถระปรินิพพานแล้ว ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า พระองคุลิมาลเถระเมื่อสิ้นชีวิตแล้วจะไปบังเกิดที่ไหน? เพราะเนื่องจากพระเถระสร้างบาปทำกรรมมามากมาย จึงสมควรที่จะต้องไปชดใช้ในนรกเป็นแน่ เมื่อพระศาสดาเสด็จมาเห็นภิกษุสนทนากันอยู่ จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่านั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ปรารภกันถึงเรื่องที่พระองคุลิมาลเถระจะไปบังเกิดที่ไหน พระเจ้าค่ะ” พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า “พระเถระไม่มาเกิดอีกแล้วเพราะท่านได้ปรินิพพานแล้ว” (หมายถึงบรรลุอรหัตตผล)

เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า “พระองคุลิมาลเถระฆ่ามนุษย์เป็นจำนวนมากเช่นนั้น ท่านได้ปรินิพพานแล้วหรือ”

พระพุทธองค์จึงตรัสรับรองว่าเป็นอย่างนั้น เพราะท่านพระองคุลิมาลก่อนนั้น ท่านไม่ได้กัลยาณมิตรสักคนหนึ่ง จึงได้ทำบาปอย่างนั้นในกาลก่อน แต่ภายหลังเธอได้กัลยาณมิตรเป็นปัจจัย จึงได้เป็นผู้ไม่ประมาท เหตุนั้น ท่านจึงสามารถละบาปกรรมนั้นได้แล้วด้วยกุศล

กัลยาณมิตรคือพระพุทธเจ้า คืออริยมรรคมีองค์ 8 วันนี้เรามีทุกอย่างแล้ว ช่วยกันยืนยันคำของท่านเถิด อย่ามัวจมปลักอยู่กับอดีตเลย ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ จงมีพระองคุลิมาลเป็นแบบอย่างในใจ


เขียนเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2555


ถ้าไม่มีเครื่องสำอางค์ แล้วคุณค่าของผู้หญิงคืออะไร?

นี่คือโฆษณาของผลิตภัณฑ์ประทินผิวยี่ห้อหนึ่งที่กำลังออกอากาศขณะนี้ และผู้หญิงจำนวน 324 คน กำลังจะลบเครื่องสำอางค์บนใบหน้าของเธอออก คุณค่าของผู้หญิงคืออะไร? บางคนก็บอกว่า เอาใจเก่ง ทำกับข้าวเก่ง ฯลฯ

แล้วท่านว่าท่านจะตอบว่าอะไร? เรื่องลบเครื่องสำอางค์ออกนั้น ด้วยความที่เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในคอร์สปฏิบัติ ก็ไม่เคยเห็นใครแต่งหน้ากันอยู่แล้ว ผู้หญิงที่ได้พบได้เห็น ก็มีคุณค่าที่สูงส่ง โดยไม่เคยเกี่ยวกับการแต่งหน้าหรือเครื่องสำอางค์กันเลย

คุณค่าทั้งหลายไม่เคยเกี่ยวกับเครื่องสำอางค์ แต่เกี่ยวกับจิตใจและการกระทำความดี และยิ่งไปกว่านั้นไม่เพียงแค่ความเป็นคนดีนั้น แต่เธอทั้งหลายยังพัฒนาจิตใจเพื่อให้รู้แจ้งเกิดปัญญาสู่ความสงบเย็นภายในจนถึงที่สุดอีกด้วย นี่ล่ะที่เหนือคน

นั่นจึงเป็นความต่าง ที่ไม่หยุดอยู่แค่เรื่องโลกๆ ชาวโลกทึ่งเหลือเกินกับการลบเครื่องสำอางค์ออกจากใบหน้า (ว่าง) ราวกับปรากฏการณ์มหัศจรรย์ แต่นักภาวนาคงทำได้อย่างมากก็แค่ยิ้มๆ แล้วงงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นว่า “มันน่าทึ่งตรงไหน..”


เขียนเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2555


หัวใจพุทธ

เจ้าเมือง ไปหา อาจารย์เซ็น
ยกประเด็น ปัญหา ขึ้นมาถาม
หัวใจพุทธ คืออะไร โปรดไขความ
ช่วยนิยาม สั้นๆ โปรดฟันธง

อาจารย์ตอบว่าหนึ่ง คือ เว้นชั่ว
สอง รู้ตัว ทำดี ที่ประสงค์
สาม ทำจิต บริสุทธิ์ พิสุทธิ์ทรง
คือหัวใจ พุทธองค์ ให้จงจำ

เจ้าเมือง หัวเราะร่า
แค่สามสิ่ง เท่านั้น น่าขำขัน
เรื่องนี้เด็ก เจ็ดขวบ ไม่รู้คำ
ไม่บอกซ้ำ ก็รู้ได้ ง่ายกระไร

อาจารย์ว่า ใช่แล้ว เรื่องหมูหมู
เด็กเจ็ดขวบ มันก็รู้ ทุกข้อไข
แต่ผู้ใหญ่ เจ็ดสิบ จะสิ้นวัย
ก็ยังทำ ไม่ได้ แม้ข้อเดียว

ที่มา: หนังสือพุทธทาสกับเซ็น
แต่งโดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


เขียนเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2555


การบรรลุธรรมด้วย iPad

ไม่ใช่มาโฆษณาขายของ และคำว่า iPad ก็ไม่ได้หมายถึง iPad แต่หมายถึง อุปกรณ์ที่ทำงานในลักษณะเดียวกันทั้งหมด

วันนี้เราอาจจะไปคิดว่าเสียงคำสอนครูบาอาจารย์ทั้งหลายเป็นไฟล์ Mp3 ภาพทั้งหลายไปดูจาก YouTube หนังสือต่างสๆ แม้แต่พระไตรปิฎกก็ไปโหลดมาจากเว็บไซต์ได้

เอาสิ่งสมมติออกไปแล้วเราจะพบความจริงที่แสนอัศจรรย์

ในสมัยพุทธกาล พระอานนท์เป็นอสีติมหาสาวกผู้เป็นเลิศด้านพหูสูต ท่านเป็นผู้ได้ยินได้ฟังคำสอนจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากที่สุด ดังมีคำกล่าวว่าพระไตรปิฎกทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ มาจากพระอานนท์ถึง 82,000 แต่เราลืมอะไรไปหรือเปล่าว่า ทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์นั้น ทุกวันนี้สามารถถูกบรรจุเอาไว้ใน iPad รวมทั้งการสาธยายจากผู้รู้มากมาย และการจัดหมวดหมู่ การเรียงลำดับ เป็นไปอย่างไม่เคยมียุคใดทำได้มาก่อน การค้นคว้าสืบค้นเป็นไปชั่วพริบตา เราศึกษาผ่าน iPad ได้มากมาย ซึ่งถ้าดูเฉพาะปริมาณ เราอาจได้ยินคำจากพระโอษฐ์มากกว่าพระอานนท์เสียอีก เราได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตร ตรัสกับพราหมณ์ ตรัสกับนางวิสาขา เราวิ่งกลับไปมาได้ระหว่างอดีตและอนาคต ภายใต้เวลาปัจจุบัน

เสียงคำสอนทั้งหลายที่เรากำลังฟัง พ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ หลวงตา สายพระป่าก็ดี ท่านพุทธทาส หลวงพ่อเอี้ยน ครูบาอาจารย์ทุกๆ ท่านทั้งที่มรณภาพไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่ก็ดี นั่นคือเรากำลังฟังท่านอยู่ เสมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น แต่นี่คือการย้อนอดีตพวกเรากลับไปอยู่ต่อหน้าท่าน (โดยไม่ใช่การปรุงให้เคลิ้มนะ แต่เมื่อเสียงว่างจากความหมายแห่งตัวตน เสียงทั้งหลายว่างอิสระ ใครเข้าคอร์สให้นึกถึงสื่อไก่ย่างส้มตำ-จูบลิง) ไม่ว่าเราจะอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นที่สวนโมกข์ ภูจ้อก้อ วังสันติบรรพต หรือที่ใดๆ ในโลกหรือไม่ก็ตาม ท่านเหล่านั้นกำลังแสดงธรรมอยู่จริงๆ ในเวลานั้นซึ่งก็คือเวลานี้ เราได้เข้าไปอยู่เข้าไปฟังเป็นหนึ่งในกลุ่มคนในวันนั้น หากคนในเหตุการณ์นั้นสามารถเข้าใจธรรมได้ เราก็ทำได้เช่นกัน แถมเราได้เปรียบกว่าตรงที่จะฟังซ้ำกี่ครั้งก็ได้ สามารถหยุดหาข้อมูลของคำที่เราไม่เข้าใจความหมายได้โดยใช้ Google ซึ่งง่ายดายมาก

วันนี้หากเรานำความอัศจรรย์ในความได้เปรียบนี้มาใช้ มนุษย์วันนี้แทบจะได้เปรียบเทวดาด้วยซ้ำ เราเดินทางกลับสู่อดีตด้วยการถอยไปฟังการแสดงธรรมครั้งใดๆ ก็ได้ในอดีตได้โดยไม่ต้องเดินทางไปด้วยซ้ำ เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัส เพียงเราตั้งใจตัดการปรุงแต่งถึงแหล่งกำเนิดเสียงออก เพราะเสียงจะว่าง แล้วนั่นคือคำสอนที่ทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง

ทุกวันนี้มนุษย์รู้อนาคต ก่อนที่เราจะไปถึงสถานที่นั้นหรือถานการณ์นั้นแล้วเสียอีก หากท่านจะเดินทางไปที่ไหนในประเทศหรือในโลก ท่านสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าอากาศที่นั่นเป็นอย่างไร อะไรกำลังเกิดขึ้นบ้าง ถนนไหนรถติดรถไม่ติด ไปทางไหนถึงจะเร็วโดยไม่ต้องใช้ฌานเลย แต่เรากำลังปล่อยให้ความเคยชินอันเกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมซึ่งก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ วันละนิด สร้างความเคยชินของชีวิตจนเห็นมันเป็นธรรมดาไป นี่ล่ะ ที่พวกเราอาจพลาดสิ่งที่ได้เปรียบที่สุดและปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ โดยไม่ได้อะไรเลย วิทยาการวันนี้แม้จะเดินหน้าไปจนสามารถรู้ถึงความคิดคน ฝังความคิดใดๆ ในคน ให้เขาคิดหรือตอบอย่างที่เราต้องการได้ โดยไม่ต้องนั่งสมาธิเลย แต่นั่นไม่ได้ทำให้เราพ้นทุกข์

หากเราถอดถอนสมมุติที่ปิดปังออก ก็จะเหลือแต่อายตนะภายนอกคือรูปบ้าง เสียงบ้าง มากระทบกับอายตนะภายในคือตา หูของเรา วิญญาณที่เข้าไปแปลค่า ก็อย่าโง่ให้การปรุงแต่งไปบดบังว่าเสียงมาจาก iPad ให้พ้นจากการถูกบดบังด้วยการแปลรูปและเสียงนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ออกมาจากเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ท่านจะสามารถเข้าถึงสภาพไร้กาลเวลา ไร้จากข้อจำกัด ว่าสิ่งนี้มาจากอินเตอร์เน็ต เมื่อนั้นท่านจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง

หากอุปกรณ์เหล่านี้ทำให้ผู้คนเข้าไปยึดติดเสพติด ด้วยเกม ด้วยเฟซบุ๊ค ด้วยสิ่งเย้ายวนใจ พวกเราจะใช้อาวุธของศัตรูนี่ล่ะพิฆาตศัตรู หนทางแห่งการพ้นทุกข์ พ้นด้วยปัญญา มีปัญญาหยิบอุปกรณ์ในโลกมาใช้ประโยชน์ในการเดินทาง ท่านสามารถมีคำสอนเดินทางไปกับท่านตลอดเวลา เวลาวิเวกอยู่ในป่า ฟังคำของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับนั่งต่อหน้าพระพักตร์ แล้วปฏิบัติตามคำ แล้ววันนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ฆราวาสผู้ใฝ่ธรรม จะได้โอกาสพลิกสถานการณ์ที่เป็นรองขึ้นมาเป็นต่อ ผมรับรองได้ว่าอนาคตอีกไม่นานในชั่วชีวิตนี้ จะมีฆราวาสที่ใฝ่ในการปฏิบัติบรรลุธรรมจำนวนมหาศาลจากความได้เปรียบนี้ แต่ต้องภาวนาย้อนกลับเข้ามาที่กายใจนี้ เพื่อให้รู้แจ้งให้ได้ว่า มันไม่ใช่ “เรา”

วันหนึ่งอาจมีคนเห็นท่านก้มลงกราบ iPad คนอาจหัวเราะด้วยความไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วท่านไม่ได้กราบ iPad ท่านกำลังก้มลงกราบ…พระธรรม

ทุกวันนี้ท่านกราบ…หิน…เหล็ก…พระพุทธรูป หรือกราบพระพุทธเจ้า


เขียนเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2555


ขอบคุณกิเลสฝ่ายขาวที่ทำให้เราอยากปฏิบัติธรรม

ถ้าเราต้องขอบคุณโลภะที่ทำให้เราอยากปฏิบัติธรรม

คนติดเฮโรอีนก็ต้องขอบคุณเฮโรอีน ที่ทำให้เขามีความสุข

ขอบคุณโจรชั่ว ที่ฆ่าคนในครอบครัวเรา ทำให้เรารู้จักความพลัดพราก

อย่าต้องขนาดนั้นเลย…

กิเลสไม่มีฝ่าย กิเลสมีเดี่ยวๆ เลย คือหลงยึด หลงโลภ หลงโกรธ ถ้าอยากทำอะไรเพราะกิเลสก็จะเป็น “อุตส่าห์ทำ หลงทำ” ซึ่งผลออกมา ก็แน่นอนว่าวันหนึ่งจะไม่อยากทำ เมื่อสิ่งที่ทำ ไม่ได้รับการตอบสนองที่ต้องการ

วันนี้ให้การมาปฏิบัติธรรมนั้น เกิดขึ้นจากสติปัญญาหรือสัมมาทิฎฐิกันเถิด เพราะนั่น จะทำให้ท่านมีความเพียรอย่างต่อเนื่อง ไม่ย่อท้อ ไม่หลงผิด คลายจากข้อสงสัยสารพัด

หากเรามาปฏิบัติด้วยสติปัญญาเห็นโทษภัยของการเวียนว่ายตายเกิด เห็นถึงความทุกข์ที่เกิดไม่จบไม่สิ้น เริ่มเนกขัมมะออกจากกาม ไม่มุ่งร้าย ไม่เบียดเบียน ก็จะเกิดศีลที่บริบูรณ์ และเริ่มจัดการกับอกุศล เจริญกุศลในจิตใจ และก็จะเห็นความจริงว่า เพราะการเกิดทุกข์นั้นเพียงแค่ใจขยับไปมา ก็สร้างตัวตน สร้างความทุกข์ไม่หยุดหย่อน เห็นว่าเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเป็นทุกข์ หาทางที่จะพ้นไปจากมัน ด้วยความมั่นใจในคำสอนของพระบรมศาสดา เดินตามอริยมรรคมีองค์ 8 ด้วยความเพียรอันไม่ถอยกลับ

การปฏิบัติอย่างนี้ไม่ต้องไปขอบคุณกิเลส เพราะกิเลสมันกำลังถูกขุดรากถอนโคน ความปรารถนาที่จะพ้นไปจากการครอบงำของกิเลส ไม่ใช่โลภะ อย่าเข้าใจผิด นั่นเป็นสติปัญญาที่เกิดขึ้น

ครั้งหนึ่งในคอร์สปฏิบัติธรรม ในวันสุดท้ายมีการออกมาแสดงความรู้สึก สุภาพสตรีท่านหนึ่งพูดขึ้นมาว่า

“ฉันเห็นตัวเองมีจิตอกุศลตลอดเวลา พยายามจัดการเท่าไหร่ก็ไม่หมด ฉันตกนรกแน่เลย”

“ขอโทษนะ…สิ่งที่คุณพูดถึงนั่นน่ะ เขาเรียกสติ และเกิดความละอายเกรงกลัวต่อบาป จะตกนรกได้ยังไง”

“ไม่ต้องปลอบใจฉันหรอกค่ะ”

“เอาอีกแล้ว…ไม่ได้ปลอบใจ นี่คือความจริง”


เขียนเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2555


ที่วัดส่วนสูง

ตอนเป็นเด็กนักเรียน ครูจะพาไปวัดส่วนสูงในห้องพละ นักเรียนในห้องก็ทยอยกันเข้าไปวัดทีละคนๆ 145…แล้วก็จด, 150….แล้วก็จด, 160…แล้วก็จด, 140…แล้วก็จด

ทุกครั้งที่แผ่นไม้ตั้งฉากเลื่อนขึ้นเลื่อนลงมาทาบบนหัวนักเรียนคนแล้วคนเล่า แผ่นไม้ตั้งฉากนั้นทำหน้าที่บอกตำแหน่งความสูงตามตัวเลข ที่เป็นแผ่นแนวตั้งติดกับผนังห้อง โดยไม่เคยยึดติดกับตัวเลขของคนก่อนๆ และเป็นอิสระจากตัวเลขของคนถัดไป เด็กทุกคนล้วนสูงทั้งสิ้น สูงกว่าระดับศูนย์ที่ไม้ฉากไม่ได้ทำหน้าที่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เมื่อคนที่หนึ่ง 145 แล้ว ไม้ฉากจะกลับไปที่ศูนย์ จากนั้นคนที่สอง 150 ไม้ฉากก็จะกลับไปที่ศูนย์ และก็เป็นไปอย่างนี้ทุกๆ ครั้ง

วันนี้หากไม่มีอวิชชา จะเกิดความเป็นอิสระ ไม่เข้าไปยึดถือสิ่งต่างๆ เลย

ตัวอย่าง

หากมีคนๆ หนึ่งทำดีกับเรามาก เรารู้สึกดีเท่ากับ 10
อีกวันหนึ่ง เขาทำดีน้อย เท่ากับ 5
อีกวันเขาไม่สนใจเราเลย เท่ากับ 0
สังเกตไหมว่า ตอนที่เขาดี 10 เรายึด 10

พอเขาดีกับเรา 5 เราเริ่มรู้สึกผิดหวังว่าเขาดีกับเราลดลง ความรู้สึกของเราที่มีต่อเขาคือติดลบ -5

วันที่เขาไม่สนใจเรา เราทุกข์มาก และเขาคนนั้นกลายเป็นคนนิสัยไม่ดี ความรู้สึกที่มีต่อเขาคือ -10

แล้วถ้าจิตไม่ยึดล่ะ…

วันที่คนๆ หนึ่งทำดีกับเรามาก ประมาณว่าเขาทำดีเท่ากับ 10 อีกวันหนึ่งเขาทำดีน้อยกว่าวันแรก ประมาณว่า เท่ากับ 5

อีกวันเขาไม่สนใจเราเลย เท่ากับ 0

ความรู้สึกของเราจะอิสระจากการกระทำของเขา เขาทำดี 10 ก็คือเขาทำดีก็ดีอยู่กับตัวเขานั่นล่ะ เราชื่นชมไปกับการทำดีของเขา

อีกวันเขามาทำดีกับเรา 5 เขาก็ดี 5 ดีก็อยู่ที่เขา ไม่ได้รู้สึกไปยึดว่าเขาดีกับเราแต่อย่างใด จะไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นเลย เขาทำดีก็ยังคงอนุโมทนาในดีของเขา

วันที่เขาไม่ดีกับเรา จริงๆ แล้วคือเขาอยู่เฉยๆ นั่นล่ะ ถ้าจะพูดให้ถูก แต่คนที่ยึดตัวตนจะสร้างความรู้สึกนี้ขึ้นมา (โง่ทุกข์สิ) เลยหาว่าเขาไม่ดีกับ “เรา”

ต่อให้เขาจะไม่ดีกับเราโดยเจตนาก็เถอะ ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเราเลย เขาจะเป็นอะไรก็เป็นไปเถอะ ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับเราเลย แล้วก็ไม่ต้องไปคิดแก้ตัวแทนเขาแทนเราอะไร หรือต้องคิดไปเป็นบวกอะไรทั้งสิ้น มันไม่เห็นมีอะไรจะต้องคิดเลย มันก็เงียบสงบดีเป็นปรกติ จะบอกว่า “ไม่คร่ำครวญ” ยังไม่ใช่เลย ถ้ามันไม่รู้สึกอะไรเลย ก็ไม่เห็นจะคร่ำครวญอะไร แล้วไม่มีอะไรจะต้องไปห้าม หรือไปทำอะไรให้มันไม่คร่ำครวญ ถ้าท่านมีลูกที่อบรมมาดี นั่งสงบอ่านหนังสือไม่ได้สร้างปัญหาอะไร ท่านต้องไปบ่นด่าต่อว่าห้ามปราม ว่าอย่าทำนั่นทำนี่ไหมล่ะ

เอาไปวัดได้กับทุกอย่างในโลก การลงทุน ได้เท่านั้นได้เท่านี้

แม่กับลูก ภรรยากับสามี ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ การปฏิบัติครั้งนี้อย่างนี้ ครั้งนั้นอย่างนั้น ครั้งก่อนดีอย่างโน้น

แล้วแต่เหตุและปัจจัย…

ไม้ฉากขึ้นไปทำหน้าที่แล้วก็กลับลงมาอยู่ที่ศูนย์ ขณะที่ไม้ฉากวิ่งขึ้นวิ่งลงในการทำหน้าที่ ใต้ไม้ฉากเองว่างจากตัวตน มีแต่ผู้อื่นเข้ามาให้ทำหน้าที่ได้ประโยชน์นั้นๆ ไป ไม้ฉากทำหน้าที่จบ ก็เป็นอิสระที่จะกลับไปที่ศูนย์ตามเดิม ไม่ค้างที่ความสูงความต่ำของใคร ไม่มานั่งปลื้มในการทำหน้าที่ของตน ใครสูงขึ้นเขาจะนั่งปลื้มว่าเขาสูงขึ้น ก็เป็นเรื่องของใครๆ ใครเตี้ยลงนั่งเสียใจ ไม้ฉากทำหน้าที่แล้วก็กลับไปอยู่ที่เดิม วันหนึ่งเขาเรียนรู้ความจริงได้ แล้วยอมรับมันก็จะไม่ทุกข์อีก ต่อให้สูงเท่าเดิมก็ไม่ใช่สูงอันเดิม สูงเปลี่ยนแปลงแต่ในอัตราที่บวกลบคูณหารแล้ว มันเป็นตัวเลขเดิม

คงทำได้แต่หน้าที่ จะบอกว่าดีที่สุด ยังพูดไม่ค่อยจะออกเลย เพราะมีมาตรฐานเดียวคือเที่ยงตรง ไม่เอนไปในทางที่จะต้องโอ๋ใคร


เขียนเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2555


ทำมา ่ากิน

ทุกวันนี้เหน็ดเหนื่อยกับการทำมาหากินกันจนตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต

รายได้แทบไม่พอรายจ่าย บ้างก็ไม่พอกันไปเลย แหล่งรายได้ของแต่ละคนก็มีค่าจ้างเงินเดือนเป็นหลักใหญ่ แล้วก็จะมีรายได้เสริมบ้าง เงินพิเศษบ้าง ว่ากันไปแต่ละคน

แต่มีรายได้อีกประเภทหนึ่งที่เป็นรายได้แฝงจากการประหยัด เงินที่ควรจะต้องจ่าย และจากการต่อรอง

ในค่าใช้จ่ายประจำซึ่งต้องจ่ายแน่ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมันรถ ค่ากับข้าว ค่าอาหาร นั้นหากเราประหยัดลงไปได้เท่าไหร่ ก็เท่ากับได้รายได้เพิ่มขึ้นเท่าที่เราประหยัดได้

เสื้อผ้าที่ต้องใช้ ตรงนี้จะกลายเป็นรายได้แฝงที่มาจากการประหยัดด้วยการต่อรอง ซื้อเสื้อ 199 บาท ต่อรองเหลือ 180 บาท เลยมีรายได้เพิ่ม (จากเงินที่ควรจะเสีย) 19 บาท ประหยัดไฟฟ้าแทนที่จะต้องจ่าย 1,000 บาทก็เหลือ 900 บาท เลยเท่ากับมีรายได้เพิ่มมา 100 บาท ประมาณนี้

รายจ่ายหลักส่วนใหญ่นั้น มักจะถูกคำนวณและระมัดระวัง ไม่ให้เกินรายได้หลักกันอยู่แล้ว แต่รายได้แฝงทั้งหลายที่เราพูดถึงมันจะถูกจ่ายสลายไปอย่างรวดเร็วแบบไม่เห็นค่าเลย เช่น ต่อราคาเสื้อ 199 บาท ได้ 180 บาท 2 ตัวได้มา 38 บาท ซื้อของที่ตลาดทั้งหมด 500 บาท ต่อราคาได้ 400 บาท ได้เพิ่มมา 100 บาท รวมกันได้ 138 บาท

แต่สังเกตไหมว่า เวลาไปกินข้าวมื้อละ 1,500 บาท ซื้อของฟุ่มเฟือย 2,000 บาท ฯลฯ รายจ่ายพวกตอบสนองกิเลสนั้น ทำรายได้ทั้งหมดวูบไปจนติดลบเลย

เพราะอะไร? ประหยัดอดออม บางครั้งถึงขั้นเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อให้ได้มา สุดท้ายก็มาหมดกับอำนาจกิเลส ราคะ ตัณหา หมดอย่างน่าเสียดาย เพียงแค่สิ่งที่บอก ว่าเป็นความสุขไม่กี่นาทีเหมือนของในฝัน แต่ละเดือนๆ หมดไปกับสิ่งเหล่านี้ เหนื่อยทั้งชีวิต ดีไม่ดีทำอกุศลเพื่อให้ได้มา แล้วก็เพิ่มพูนอกุศลด้วยในตอนที่จ่ายออกไป เกิดมาครั้งนี้กำไรหรือขาดทุน

ทุกวันนี้ไม่ได้ทำมาหากินหรอก แต่ทำมา ่ากิน


เขียนเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2555


เหตุผล เหตุให้เกิดทุกข์

เขียนอย่างนี้เดี๋ยวโดนถล่มแน่ เปิดประเด็นแบบนี้ หาเรื่องโดนโจมตี เพราะทุกคนคิดด้วยเหตุผล จึงวนจนใจตนเอง เจ้าเหตุเจ้าผลจนลงนรกไป

ไม่กลัวหรอก หาเหตุผลมาเถียงเข้าไปเถอะ ยิ่งหายิ่งทุกข์ ยิ่งหายิ่งสร้างตัวตน มีผิดมีถูก มีกูมีมึง มึงทำไม่ดี มึงทำไม่ถูก กูทำถูก กูว่าอย่างนี้ถึงจะถูก กูไม่ได้ทำอะไรผิด อีกคนที่เป็นคู่กรณีก็ว่ากูไม่ผิด มึงนั่นล่ะผิด ตกลงทุกข์ทั้งคู่ มีเหตุผลทั้งคู่เลย ดีจริงทำไมทุกข์ทั้งคู่เลย หรือกูแค่จะสะท้อนความคิดเห็นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉยๆ จริงๆ กูไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนนะ… พวกแมวปีนกำแพง ไม่มีผนังกำแพง แมวปีนขึ้นไม่ได้หรอก

ถ้าขับรถมาดีๆ อยู่ๆ คันหน้าเบรคกระทันหันเพราะเด็กวิ่งตัดหน้า เราเหยียบเบรคทันหยุดสนิทเกือบชนคันหน้า คันหลังวิ่งตามเรามาไม่เห็นว่าอะไรเกิดขึ้น เบรคไม่ทันชนท้ายรถเราโครม! ท้ายยุบ กันชนพัง ไฟแตก ลงจากรถ เจอหน้าคู่กรณีลงมาดูรถเขาก็พังเหมือนกัน เราด่าทอต่อว่าสารพัดถึงความประมาท ไม่ระวัง และคนชนท้ายคนอื่นผิด

“เราเบรคทัน เขาเบรคไม่ทัน” เรื่องมันมีแค่นี้ล่ะ ผลที่ตามมาล่ะ? ก็แก้ไขไปสิ คนชนก็รับผิดชอบ กฎหมายก็มีดูแลให้อยู่ก็ดำเนินการไป จะทุกข์ใจ โมโหโกรธาไปเพื่ออะไร

“ก็รถเราพัง ไม่มีรถใช้ ลำบากเลย ตั้งหลายเดือนกว่าจะซ่อมเสร็จ เสียหายหมด”

รถเขาก็พังเหมือนกัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นผลที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุ รถเราคันที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุมันเป็นอดีตไปแล้ว และมันไม่มีอยู่จริงแล้ววินาทีนี้ จะไปหวนถึงอดีต เลียซากไปทำไม รถคันนั้นมันตายไปแล้วดับไปแล้ว ตรงหน้ามีรถพังรถป่วยก็ซ่อมไป แต่ไม่ได้กลับไปดีเหมือนเดิม เพราะไม่มีอะไรเหมือนเดิม มันเป็นของมันจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง นี่ล่ะ สภาพทุกขัง ไม่สามารถคงที่อยู่สภาพนั้นๆ ได้ ใครโง่ไปยึดสิ่งเป็นทุกข์ไม่ทุกข์ก็แปลกล่ะ มีไว้ใช้ไม่ได้มีไว้ยึด “ก็มันอดเสียดายไม่ได้นี่!” ต้องเห็นความจริงให้ได้ ปล่อยวางให้ได้

รถไม่มีก็อยู่อย่างคนไม่มีรถ จิตวางได้ไวทุกข์ก็เหลือแว้บเดียว คนไม่มีรถเยอะแยะไป ไม่เห็นมีใครเป็นอะไร ดีเสียอีกไม่ต้องขับเอง ไม่ปรุงให้มันทุกข์ มันไม่ทุกข์ขึ้นมาเองหรอก ทุกข์ไม่ได้มีมาก่อนนะ ทุกข์มีได้เพราะมีอวิชชาก่อน มีรถยึดรถก็ทุกข์สิ ถ้าใช้รถเหมือนมีคนให้ยืมมาใช้ทุกๆ วัน จะรู้สึกถึงความสะดวกสบาย วันไหนไม่มีเพราะเขาเอาคืน ก็กลับมามีความสุขแบบคนไม่มีรถ มีก็สุขไม่มีก็สุข เพราะความสุขมันอยู่ที่รถซะเมื่อไหร่ ความสุขมันอยู่ที่ใจต่างหากไม่เห็นจะเกี่ยวกับรถเลย รถแค่ให้ความสะดวกบายเท่านั้นเอง

สรรพสิ่งมันเคยเป็นของเราหรือ นกเขาบินไปเกาะกิ่งไหนมันก็ร้อง “ของกู ของกู” กิ่งไม้ไม่เคยเป็นของนกเลย มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง

หาเหตุผลไปเถอะ กายใจนี้ยังไม่ใช่ของเราเลย จะเอาอะไรมาเป็นของเรา มีแต่ของทุกข์ มีแต่ของเกิดดับ สิ่งอันเกิดจากธรรมชาติที่มีรากเหง้ามาจากทุกข์จะสุขได้อย่างไร

สรรพสิ่งในโลกนี้มันเปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เกี่ยวกับใจของเราเลย


เขียนเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2555


เวลามีค่าทุกวินาที

หลายคนปรารถนาจะได้ไปปฏิบัติธรรม แต่เนื่องด้วยงานบ้าง ครอบครัวต้องดูแลบ้าง

หลายคนปรารถนาจะออกบวช แต่ยังทำไม่ได้ เนื่องจากภาพการบางอย่าง

หลายคนยิ่งกว่า ไม่ได้รู้สึกทั้งสองอย่างข้างต้นเลย ฉันสุขสบายดีไม่เห็นทุกข์อะไร

คุณค่าของชีวิตคืออะไร?
ทำงานให้เต็มที่ดีที่สุด?
เลี้ยงลูกให้ดีที่สุด?
ปฏิบัติธรรม?
บวช?
อยู่ในสำนักปฏิบัติ?
มีชีวิตเพื่อผู้อื่น ช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์อย่างเต็มกำลัง?
หลุดพ้น?

เรื่องนี้หากพูดแบบโลกๆ ก็คงเป็นไปตามเหตุตามผลของแต่ละคนที่จะคิด ในเมื่อชีวิตของทุกคนมีความตายเป็นที่สุด นั่นจึงแปลว่า เวลาของแต่ละคนเหลือกันอยู่ภายใต้ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และกำลังนับถอยหลัง ขณะที่กำลังอ่านนี้ ก็กำลังนับถอยหลังอยู่

เวลาเขานับถอยหลังการจัดกีฬาโอลิมปิค เขาเอาเวลาในชีวิตเราไปนับด้วย ทุกเทศกาลแห่งการนับถอยหลัง เวลาของเราถูกนับไปด้วย ที่น่าสนุกและตื่นเต้นอย่างยิ่งคือ เราไม่รู้ว่าพิธีปิด โอ้ ชีวิตของเรามันจะอยู่ที่วินาทีไหน ดังนั้นทุกวินาทีจึงเป็นเวลาที่เหลืออยู่และมีค่าเป็นอย่างยิ่ง

การทำชีวิตให้มีค่าจริงๆ ในการปฏิบัติเริ่มตั้งแต่

  1. มีความเห็นที่ถูกต้อง รู้ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุ อะไรคือความดับ อะไรคือหนทางสู่ความดับทุกข์
  2. ทำทานบริจาคช่วยเหลือสังคม ผู้คน ประเทศชาติและโลก
  3. การไม่ทำผิดศีล ช่วยเหลือคนให้ได้ธรรมะ ได้พ้นทุกข์เท่าที่ทำได้ ดูแลครอบครัวให้ดี
  4. การชำระอกุศลในใจ การกระทบในชีวิตประจำวัน ละอารมณ์ให้ได้ไวไว
  5. เจริญกุศลให้มาก เดินเหินหยิบจับ เข้าห้องน้ำ มีสติสัมปชัญญะไว้ให้มาก จนจิตตั้งมั่นในระดับต้นๆ
  6. จนรู้ได้ว่ากายนี้ใจนี้เกิดๆ ดับๆ ไปทุกๆ ขณะ เราเข้าไปยึดถือก็เป็นทุกข์
  7. ศึกษาและปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ทำในชีวิตประจำวันนี่ล่ะ ใครจะบวช ใครจะอยู่ในคอร์ส อยู่ในป่า ก็จิตดวงนี้ล่ะ ถ้าเผลอเพลินหลงไหล อยู่ที่ไหนๆ ก็พอกัน คนป่าคนดอยก็มีมาก ทหารฝึกอยู่กินลำบากในป่า หมอผ่าตัด สัปเหร่อเผาผี คนยากคนจน ยาจกเข็ญใจ มีใครบรรลุธรรมบ้าง ผมไม่ได้ไปว่าใครนะ แต่อยากจะให้พวกเราเห็นคุณค่าที่เรากำลังมีอยู่ ว่าการจะเข้าถึงธรรมนั้นใช้ปัญญาแน่นอน ต้องมีศีลและสมาธิเป็นบาทฐานให้ครบ ไตรสิกขา (มรรคมีองค์ 8) แล้วในชีวิตประจำวันนี้ ทั้งศีลและสมาธิทำไม่ได้หรือ? (ถ้าตอบว่าไม่ได้ ก็ต้องหาอุบายให้ตนเองเพื่อให้เกื้อกูล) ตราบใดที่ยังอยู่เป็นฆราวาสอยู่นี้ จงมั่นใจเถิดว่า ปัญญา ศีล สมาธิเพียงพอที่จะเห็นธรรม และปฏิบัติภาวนาจนถึงธรรมได้ แต่ต้องเดินตามมรรคอย่าคิดเอง แล้วดึงธรรมเข้าหาความคิดเราก็แล้วกัน


ปัญญา ศีล สมาธิอยู่ที่จิต หลุดพ้นที่จิต ปล่อยวางที่จิต การกระทำทั้งหลาย เพียงเป็นเครื่องสอนจิต เป็นฐานให้จิตเรียนรู้ หนทางปฏิบัติสู่การบรรลุนิพพานนั้นมีทางเข้าถึงได้โดยรอบ (คำพระพุทธเจ้า) ใช่…นั่นคือวิธีการ แต่ทุกวิธีเข้าไปทำให้จิตยอมรับให้ได้ในเบื้องต้นว่า กายใจนี้ไม่ใช่เรา ของเรา จากนั้นลึกเข้าไป เขาจะเข้าใจได้อีกว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่ของเรา ขันธ์เป็นเพียงที่ตั้งแห่งความยึดมั่น ขันธ์ไม่ได้มาทำให้เรายึดมั่น มีธรรมชาติโง่ที่เรียกว่าจิตเข้าไปยึดขันธ์ด้วยความไม่รู้ แทนที่จะรู้ว่าความโง่ครั้งนี้เป็นเหตุให้ทุกข์…ดันไปเห็นอีกว่าเป็นสุขเสียฉิบ เลยยาวสิงานนี้ เปิดช่องให้กิเลสจัดเต็ม กิเลสไม่ต้องออกแรงเลย เพราะคลอเคลียนัวเนียเป็นเพื่อนซี้ย่ำปึ้กกัน ไม่เอะใจว่าถูกปอกลอกเลย แล้วจะเหลือหรือ มันยากตรงนี้ล่ะ การปฏิบัติธรรม ที่จะเห็นตรงนี้ให้ได้

วันนี้ที่ยากก็ตรงนี้ล่ะ อยู่ตรงไหนถ้าเห็นอย่างนี้ก็ปฏิบัติได้ ก็เหมือนกัน ใช่ ในชีวิตฆราวาสอาจปฏิบัติยากกว่าเพราะเครื่องฉาบย้อมมันเยอะ แต่ก็ทำได้ ไม่ถึงกับทำไม่ได้ อยู่ป่าปฏิบัติง่ายกว่า แต่ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่พ้นหลงสร้างตัวตน เก่งกาจขึ้นมาอีกอยู่ดี ได้ติดมาอย่างหนึ่งคืออดทน ถ้าเอาแค่นี้ไปเป็นทหารเกณฑ์ก็ได้ เดินแล้วได้สมาธิ เด็กปั้นดินน้ำมันก็มีสมาธิ ทุกศาสนาก็มีสมาธิ แล้วทำไมไม่หลุดพ้นล่ะ

เพราะเอาสมาธิมาใช้ไม่เป็น เขาไม่เอาสมาธินั้นวกกลับเข้าเห็นให้ได้ว่ากายใจหรือชีวิตนี้ เป็นเพียงรูปและนามไม่ใช่ตัวเราของเรา

  1. ด้วยการเห็นการเกิดขึ้นดับไปของกายและใจ
  2. เพราะเขาไม่เห็นว่า กายใจนี้เป็นทุกข์โดยตัวมันเอง เพราะเกิดๆ ดับๆ ยิ่งถ้าเข้าไปยึดถือมันมาเป็นของเรา เป็นเรา ก็ทุกข์เข้าไปเต็มเปา
  3. เพราะเขาไม่เห็นว่าสรรพสิ่งทั้งโลกทั้งจักรวาลไม่ใช่แค่ตัวเรา ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นมาเพราะมีเหตุ และเมื่อหมดเหตุก็ดับไป มีเหตุใหม่ก็เกิดขึ้น เห็นที่ผลก็รู้ว่า เพราะมีเหตุเป็นที่มา ไม่ว่าจะเห็นในระดับใด ก็จะเริ่มเบื่อหน่ายคลายความยึดถือลงได้


ดังนั้นการใช้ชีวิตอย่างมีปัญญา เพื่อเดินสู่เป้าหมายอย่างนี้ จึงจะเป็นการเดินทางอย่างทรงคุณค่า ไม่ว่าอยู่ที่ไหนๆ ก็ล้วนแต่พาไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ไม่เสียเวลาแน่นอน

ตกลงต้องไปเข้าคอร์สไหม?…ต้อง อ้าว เพราะไม่งั้นมือมันจุ่มในน้ำร้อนตลอดจนชิน พรากไม่ออกแยกไม่ได้ รู้สึกว่าน้ำร้อนเป็นน้ำธรรมดา อ่านอยู่เนี่ยจุ่มในน้ำอะไร ก่อนหน้านี้วีนใคร นินทาใคร โกรธใครบ้างรึเปล่า ร้อนนะนั่นน่ะ สติเตือนไหม ตั้งมั่นพอไหม (นอกจากคนที่จิตตั้งมั่นจริงๆ เห็นว่าน้ำร้อนในขณะที่จุ่มในน้ำร้อนได้เลย อาจไม่ต้อง) ตกลงต้องบวชไหม?…บวชหลุดพ้นได้เร็วกว่า เพราะได้เนกขัมมะจากกาม บริสุทธิ์กว่าฆราวาส แต่ไม่ตายตัวนะ เห็นไหมว่า พาหิยะเป็นผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เร็วที่สุด ไม่ได้เป็นพระในขณะนั้น ขึ้นกับปัญญา บารมี อินทรีย์ที่สั่งสมมาด้วย แต่ก็ขึ้นกับเหตุและปัจจัย แต่ถ้าบวชได้ดีแน่

สรุปแล้วฉลาดที่จะใช้ชีวิต อยู่ตรงไหนทำดีที่สุดตรงนั้น อย่ามัวคิดว่า “ถ้าฉันได้…ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ละก็…” ขอให้รู้ว่า คนมีปัญญาจริงเขามุ่งมั่นทำทันที ไม่เคยต้องรอโชคชะตาวาสนาอะไรทั้งนั้น เขาจะบริหารจัดการภายใต้ข้อจำกัดเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลเดียวกันให้จงได้


เขียนเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2555