มีใครรู้จักตัวโอกาสบ้าง ตัวโอกาสมีลักษณะเฉพาะตัว
ดังนั้นหากเราต้องการจะจับตัวโอกาส มีทางเดียวคือดักจับมันตอนมันเดินเข้ามาใกล้ จนกระทั่งถึงตัวเรา แต่หากมันพ้นไปแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะไม่สามารถจับได้อีกเลย เพราะตัวมันลื่น ไม่มีขน และมันจะไม่กลับมาอีก ที่จะมีมาก็เป็นตัวใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาอีกครั้งเมื่อไหร่
เพราะเหตุนี้ โอกาสของชีวิตไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม เราอาจไม่รู้เลยว่าตัวโอกาสกำลังเดินมา แล้วกำลังจะผ่านไปแล้ว หากเราไม่คอยสังเกตหรือตัดสินใจให้ดี เราก็จะพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างเรื่องเล่าในสมัยพุทธกาลเรื่องหนึ่ง ครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงเสด็จไปบิณฑบาตกับพระอานนท์ ได้ทอดพระเนตรเห็นขอทานแก่ชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างทาง พระองค์ทรงแย้มสรวล พระอานนท์จึงเดินเข้าไปทูลถามว่า มีอะไรหรือพระเจ้าค่ะ พระองค์จึงเล่าให้พระอานนท์ฟังว่า ขอทานแก่สามีภรรยาคู่นี้ สมัยก่อนเป็นลูกเศรษฐี ครั้นพอเศรษฐีตาย ได้รับมรดกเป็นทรัพย์เป็นอันมาก หากเขาทำมาหากินตั้งแต่ตอนนั้น บัดนี้เขาจะเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของอินเดีย ภรรยาก็จะเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของอินเดีย แต่หากเขาออกบวชวันนั้น เขาจะเป็นพระอรหันต์ ภรรยาจะเป็นพระอนาคามี
แต่เขาทั้งสองกลับไม่ทำอะไร กินใช้ในทรัพย์ที่มีอยู่ ด้วยคิดว่ามันมีมากจนไม่มีวันหมด ครั้นมาถึงวัยกลางคน หากทั้งสองเริ่มทำมาหากินในตอนนั้น สามีจะเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของอินเดีย ภรรยาจะเป็นมหาเศรษฐีอันดับสาม แต่หากทั้งสองตัดสินใจออกบวช สามีจะเป็นพระอนาคามี ส่วนภรรยาจะเป็นพระสกิทาคามี
ทั้งสองก็มิได้ทำอะไรจนกระทั่งถึงคราวที่อายุมากแล้ว ถ้าเขาตัดสินใจเริ่มทำงานในตอนนั้น เขาก็จะเป็นเศรษฐีอันดับสาม และภรรยาเป็นเศรษฐีอันดับสี่ แต่หากเขาออกบวช สามีจะเป็นพระสกิทาคามี ภรรรยาจะเป็นพระโสดาบัน
แต่เขาปล่อยเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ เขาหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว แม้แต่จะออกบวชก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะปล่อยตนเองจนแก่ชรา ไม่สามารถทำความเพียรใดๆ ได้อีก
น่าอนาถยิ่งนักกับเศรษฐีผู้กลายเป็นยาจก แต่นั่นยังไม่น่าเสียดายเท่าการพลาดโอกาสในการฟังธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรม เรามามองความจริงที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกว่า ต่อให้เป็นเศรษฐีอันดับไหนๆ ก็ตาม แล้วอย่างไรหรือ? ก็แค่มีกินมีใช้ยังชีพไปเท่านั้นเอง วันนี้ทุกคนตื่นแต่เช้าฝ่ารถติด ไปนั่งสร้างอกุศลบ้างกุศลบ้าง แล้วก็หาอะไรใส่ท้อง แล้วก็ฝ่ารถติดกลับมานอน เช้ารีบตื่น…แล้วก็ทำซ้ำเหมือนเดิม…ยิ่งถ้าชีวิตสร้างอกุศลด้วยโลภ โกรธ หลง สั่งสมไว้มากๆ นั่นคือขาดทุนแล้ว ในโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ สุดท้ายที่ว่าเพื่อเงินนั้นแม้สักบาทยังเอาติดไปไม่ได้ ที่ได้ไปด้วยก็มีแต่บุญทานการกุศลหรือบาปอกุศลที่จะเอาติดไปได้
ดังนั้นตัวโอกาสที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง คงไม่ใช่โอกาสทางธุรกิจหรอก เพราะหากเป็นนักธุรกิจตัวจริงคงไม่ประมาท ลงทุนเฉพาะแต่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น เขาคงจะต้องหาทางลงทุนใน “บริษัทข้ามชาติ” เอาไว้ด้วย
แต่ที่น่าเสียดายจริงๆ กลับเป็นโอกาสในการจะรู้แจ้งอริยสัจ 4 ต่างหาก เพราะวันนี้ คนไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญของชีวิตกันแน่
เขียนเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2555
- ด้านหน้ามีขนยาว
- ด้านหลังผิวเรียบ มัน ลื่น ไม่มีขน
- เดินหน้าอย่างเดียวไม่มีถอยหลัง ไปแล้วไปเลยไม่มีหวนกลับ จนกว่าตัวใหม่จะมาใหม่
ดังนั้นหากเราต้องการจะจับตัวโอกาส มีทางเดียวคือดักจับมันตอนมันเดินเข้ามาใกล้ จนกระทั่งถึงตัวเรา แต่หากมันพ้นไปแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะไม่สามารถจับได้อีกเลย เพราะตัวมันลื่น ไม่มีขน และมันจะไม่กลับมาอีก ที่จะมีมาก็เป็นตัวใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาอีกครั้งเมื่อไหร่
เพราะเหตุนี้ โอกาสของชีวิตไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม เราอาจไม่รู้เลยว่าตัวโอกาสกำลังเดินมา แล้วกำลังจะผ่านไปแล้ว หากเราไม่คอยสังเกตหรือตัดสินใจให้ดี เราก็จะพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างเรื่องเล่าในสมัยพุทธกาลเรื่องหนึ่ง ครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงเสด็จไปบิณฑบาตกับพระอานนท์ ได้ทอดพระเนตรเห็นขอทานแก่ชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างทาง พระองค์ทรงแย้มสรวล พระอานนท์จึงเดินเข้าไปทูลถามว่า มีอะไรหรือพระเจ้าค่ะ พระองค์จึงเล่าให้พระอานนท์ฟังว่า ขอทานแก่สามีภรรยาคู่นี้ สมัยก่อนเป็นลูกเศรษฐี ครั้นพอเศรษฐีตาย ได้รับมรดกเป็นทรัพย์เป็นอันมาก หากเขาทำมาหากินตั้งแต่ตอนนั้น บัดนี้เขาจะเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของอินเดีย ภรรยาก็จะเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของอินเดีย แต่หากเขาออกบวชวันนั้น เขาจะเป็นพระอรหันต์ ภรรยาจะเป็นพระอนาคามี
แต่เขาทั้งสองกลับไม่ทำอะไร กินใช้ในทรัพย์ที่มีอยู่ ด้วยคิดว่ามันมีมากจนไม่มีวันหมด ครั้นมาถึงวัยกลางคน หากทั้งสองเริ่มทำมาหากินในตอนนั้น สามีจะเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของอินเดีย ภรรยาจะเป็นมหาเศรษฐีอันดับสาม แต่หากทั้งสองตัดสินใจออกบวช สามีจะเป็นพระอนาคามี ส่วนภรรยาจะเป็นพระสกิทาคามี
ทั้งสองก็มิได้ทำอะไรจนกระทั่งถึงคราวที่อายุมากแล้ว ถ้าเขาตัดสินใจเริ่มทำงานในตอนนั้น เขาก็จะเป็นเศรษฐีอันดับสาม และภรรยาเป็นเศรษฐีอันดับสี่ แต่หากเขาออกบวช สามีจะเป็นพระสกิทาคามี ภรรรยาจะเป็นพระโสดาบัน
แต่เขาปล่อยเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ เขาหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว แม้แต่จะออกบวชก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะปล่อยตนเองจนแก่ชรา ไม่สามารถทำความเพียรใดๆ ได้อีก
น่าอนาถยิ่งนักกับเศรษฐีผู้กลายเป็นยาจก แต่นั่นยังไม่น่าเสียดายเท่าการพลาดโอกาสในการฟังธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรม เรามามองความจริงที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกว่า ต่อให้เป็นเศรษฐีอันดับไหนๆ ก็ตาม แล้วอย่างไรหรือ? ก็แค่มีกินมีใช้ยังชีพไปเท่านั้นเอง วันนี้ทุกคนตื่นแต่เช้าฝ่ารถติด ไปนั่งสร้างอกุศลบ้างกุศลบ้าง แล้วก็หาอะไรใส่ท้อง แล้วก็ฝ่ารถติดกลับมานอน เช้ารีบตื่น…แล้วก็ทำซ้ำเหมือนเดิม…ยิ่งถ้าชีวิตสร้างอกุศลด้วยโลภ โกรธ หลง สั่งสมไว้มากๆ นั่นคือขาดทุนแล้ว ในโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ สุดท้ายที่ว่าเพื่อเงินนั้นแม้สักบาทยังเอาติดไปไม่ได้ ที่ได้ไปด้วยก็มีแต่บุญทานการกุศลหรือบาปอกุศลที่จะเอาติดไปได้
ดังนั้นตัวโอกาสที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง คงไม่ใช่โอกาสทางธุรกิจหรอก เพราะหากเป็นนักธุรกิจตัวจริงคงไม่ประมาท ลงทุนเฉพาะแต่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น เขาคงจะต้องหาทางลงทุนใน “บริษัทข้ามชาติ” เอาไว้ด้วย
แต่ที่น่าเสียดายจริงๆ กลับเป็นโอกาสในการจะรู้แจ้งอริยสัจ 4 ต่างหาก เพราะวันนี้ คนไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญของชีวิตกันแน่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น