วันนี้ด้วยความที่มนุษย์ทั้งหลายมุ่งเน้นการให้ทานเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น จิตใจที่ปรารถนาถึงความพ้นทุกข์ของผู้อื่น นี่จึงเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส โดยเฉพาะในส่วนของโมหะ ซึ่งเป็นความหลงผิดในความเป็นตัวตน ส่วนโลภะนั้นแน่นอน เมื่อเกิดการให้ก็เกิดการแบ่งปัน มันเป็นการลดละขัดเกลาความตระหนี่ลงไป
เมื่อจิตที่ตั้งไว้ไม่ใช่เพื่อตนเอง นั่นจึงทำให้อานิสงส์แห่งบุญยิ่งใหญ่ ประกอบกับมนุษย์มีกายหยาบ มีทุกขเวทนามากกับกายหยาบนี้ ไม่ว่าจะเวทนาอันเกิดจากความหิว จากความเหนื่อยยาก จากความทนทุกข์ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ มนุษย์จะทำอะไรจึงต้องมีความเพียรมาก ซึ่งมากกว่าในภพภูมิที่มีกายละเอียดมีทุกข์น้อย เวลามนุษย์ตั้งจิตเอาไว้ที่การสละออกซึ่งตัวตน อานิสงส์แห่งบุญจึงมากมายมหาศาล ในทางกลับกัน ในการวางแผนเพื่อทำบาปทำชั่ว คน (ไม่ใช่มนุษย์) จึงต้องรับผลแห่งบาปมหาศาลเช่นกัน
เมื่อทำบุญช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ให้ตั้งจิตไว้ที่การช่วยคน อย่างน้อยทำให้เขาบรรเทาเบาคลายจากความทุกข์บ้างเท่าที่เราจะทำได้ ไม่ใช่ทำเพราะเราจะได้บุญ
เมื่อจะใส่บาตร ก็มีความรู้สึกว่าอาหารที่เราได้ใส่ลงไปนั้นคงจะมีส่วนให้พระสงฆ์ท่านได้มีชีวิตสืบไป ซึ่งนั่นจะส่งผลให้พระพุทธศาสนาได้ยาวนานออกไป และเป็นภาพที่ผู้ได้พบเห็นจะชื่นใจในการให้ จะสืบสานสิ่งดีงามสืบต่อไปถึงลูกหลาน ไม่ใช่ทำเพราะเราจะได้บุญ แต่เป็นการทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง
เมื่อสร้างเสนาสนะ ศูนย์ปฏิบัติธรรมหรือสาธารณสถานเช่นโรงพยาบาล ฯลฯ ก็ตั้งจิตว่าสถานที่เหล่านั้นจะยังประโยชน์ให้กับผู้คนได้พ้นไปจากทุกข์ทางกายในโรงพยาบาล ใจก็จะสบายขึ้น ได้พ้นจากทุกข์ทางใจในสถานปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ระดับสบายใจจนถึงขั้นหลุดพ้นถึงที่สุด ไม่ใช่ทำเพราะเราจะได้บุญ
ถ้าทำอย่างนี้การให้จะเป็นไปเพื่อให้ ไม่มีตรงไหนวกกลับมาเอา เมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จ ล้างห้องน้ำให้สะอาดเพื่อให้คนอื่นได้ใช้ห้องน้ำที่สะอาด ไม่ใช่ทำเพราะเราจะได้บุญ ทำที่บ้านทำที่ทำงานที่ไหนก็ได้ เพราะทำให้คนอื่นได้ใช้ห้องน้ำสะอาด ใจจะเป็นบุญโดยไม่ต้องเอา เพราะถ้ามัวคิดแต่จะเอา เราทำท่าจะเป็นเปรตแทน
ไม่มีตอนไหนที่จะพูดว่า “ทำเพราะได้บุญ” บุญที่ได้คือ เมื่อลดตัวตนลง ตอนนั้นจึงเป็นบุญ เมื่อใจไม่ได้ทำเอาบุญ ไม่ได้หวังจะได้บุญ นั่นจึงจะเป็นบุญ นั่นจึงจะเป็นการให้ที่บริสุทธิ์
ส่วนเมื่อทำแล้วสบายใจ ก็ดีที่ทำแล้วสบายใจมีความสุข นั่นก็เป็นผลแห่งบุญ แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่ได้ทำเพื่อให้ใจสบายหรือมีความสุข ทำเพื่อช่วยคน คนที่เขากำลังลำบาก เราไปช่วยให้เขาได้พ้นทุกข์ คงไม่กล้าคิดที่จะไปแอบแฝงเอาความสุขจากคนที่กำลังลำบาก ตั้งจิตให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นทำไปก็เอาอีก ไม่ใช่พอไม่เอาบุญ ก็ไปแอบเอาสุขอีก จิตอาสานั่นน่ากลัว เพราะคนไปโปรโมทกันว่าทำแล้วมีความสุข วันไหนงานไหนทำแล้วไม่สุขก็ไม่ทำ ถ้างานช่วยคนนั้นมันลำบากก็ไม่อยากทำ
ตอบคำถามนี้ดูนะ ถ้าท่านเป็นผู้ที่ต้องช่วยคนทุกๆ วัน วันแรกๆ ท่านคงจะมีความสุขใจที่ได้ทำ แต่หลังจากนั้นจากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลายๆ ปี ท่านคิดว่าท่านจะยังคงสุขเหมือนเดิมอยู่ไหม (นักปฏิบัติผู้เห็นอนิจจังก็จะเห็นถึงการเข้าสู่อุเบกขาในที่สุด) ถึงตอนนั้นคนทั่วไปจะมองว่าหมดความสุขจากการให้ จากการช่วยคนแล้ว ถามว่า จะยังทำอยู่อีกไหม? เพราะถ้าทำเพื่อตัวเองมีความสุข จะหมดแรงที่จะทำไม่อยากทำแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าทำแล้วตัวเองต้องลำบากล่ะ? จะทำไหม?
การช่วยคนต้องทุ่มเททั้งกำลังกายกำลังใจ พลังสมองและพลังปัญญา เหนื่อยนะ…เพราะฉะนั้นต้องไม่ทำเพื่อตัวเองสุข และไม่เคยหวังอะไรจากการกระทำ แม้แต่จะบอกว่าทำแล้วตัวเราสบายใจก็ยังไม่มี แต่ทำเพื่อผู้อื่นพ้นทุกข์มากน้อยเท่าที่ทำได้ ไม่หยุดเพราะ “กูเหนื่อย กูพอแล้ว” แต่บางทีก็พักบ้างเพื่อเดินหน้าต่อไป
เลิกทำเอาบุญ…เลิกไปทำบุญเพื่อตัวเอง เมื่อนั้นจึงจะเป็นบุญ บุญนั้นจะเป็นเหตุปัจจัยให้ถึงซึ่งพระนิพพาน เพราะพระนิพพานนั้นไม่ได้ทำเพื่อพอกพูนตัวตน แต่ทำเพื่อหมดตน หมดตน ก็จะทำเพื่อผู้ที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ผู้มีความทุกข์ได้พ้นจากทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ นั่นแหละจะพ้นบุญ แต่ไม่หยุดทำบุญ เพราะไม่ทำเอาบุญ บุญเต็มแล้ว…ก็พ้นไป
เขียนเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น