ภัยจะพิบัติไหมไม่รู้ แต่ใจพิบัติไปก่อนแล้ว

วันนี้ยิ่งใกล้จะเข้าสู่ปี 2012 เรื่องของภัยพิบัติยิ่งกลายเป็นกระแสที่มาแรงจริงๆ จนผมเองงงว่า วันนี้มีผู้สนใจธรรมะมากขึ้นหรืออย่างไร ยอดคนเข้าเว็บไซต์ของสวนยินดีธรรมเพิ่มขึ้น บางวัน 1,000% คือ 10 เท่าจากเดิม แต่พอดูรายละเอียดของผู้ที่เข้ามาส่วนใหญ่มาจากการค้นหาคำว่า “ด.ช.ปลาบู่” ใน Google ทั้งนั้นเลย หรือไม่ก็ “ภัยพิบัติ 2012”

กระแสมันแรงจริงๆ ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด ถึงไม่เกิด ความตายก็น่ากลัวสำหรับคนไม่รู้อยู่ดี ถ้าเกิดก็เหลือ 2 ทาง คือถ้าตายก็ตายไป ถ้าไม่ตายก็กลับมาโพสต์ด่าคนที่ไม่เชื่อ ด่ารัฐบาล แล้วก็คงมีคนที่เสียหายจากภัยพิบัติ กับคนที่ไม่โดนกับเขาด้วย แล้วก็กลัวอดตายต่อไปอีก หรือไม่ก็นั่งทุกข์จากการพลัดพราก

รู้ไหมว่าความรู้สึกกังวลในความไม่แน่นอนอย่างนี้เป็นทุกข์ พยายามจะหาคำตอบจากอะไรว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิด ทำไมไม่รู้สึกว่าสภาพอย่างนี้เป็นความอึดอัดไม่สบายใจ ซึ่งมันเกิดกับเราทุกเรื่อง เพราะพอคิดไปถึงผลกระทบหากกิจการล่มสลาย ทรัพย์สินพังพินาศ สูญเสียคนที่รักไป มันล้วนแต่เป็นทุกข์มาก เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะยังมี “ชาติ” คือการเกิด จึงเกิดทุกๆ อย่างคือ ชรา มรณะ และในระหว่างการดำเนินชีวิตแต่ละวินาทีอีก ถอนหายใจดังๆ ไปเลยเถอะ “เฮ้อ!”

ออกเถอะ ตราบเท่าที่ยังมีทางอยู่ อย่ามัวหาคำตอบหาเหตุผลอะไรให้มันมาก ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว ทำอย่างอื่นทำได้เต็มที่ทุกอย่าง ยากแค่ไหนไม่มีหวั่น ยกเว้นปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ มันยากเย็นเข็ญใจ

วันนี้กลัวตายไหม? กลัว ขนาดทุกข์ขนาดนี้นะ คนก็ยังกลัวตาย ไม่อยากตาย

เชื่อไหมว่า สัตว์นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ซึ่งทุกข์แสนสาหัสทุกๆ วัน มันก็กลัวตายทั้งๆ ที่มันทุกข์มาก นึกว่ามันจะอยากตาย แต่เพราะความไม่รู้ มันกลับกลัวตายยิ่งกว่าคนกลัวตายซะอีก ทั้งๆ ที่แต่ละขณะ มันทุกข์ทรมานในขุมนรกเสียยิ่งกว่าเราอีก (จากคำของพระนาคเสนที่ตอบปัญหาพระเจ้ามิลินท์)

ถามตัวเองดูสิ แล้วคิดว่า เทวดา พรหม กลัวตายไหม? ถามตัวเองก็ได้ วันที่ท่านมีความสุขสบาย มีครอบครัวที่คุณพูดเองว่า เพอร์เฟ็ค มีงานที่คุณคิดว่ามันเพอร์เฟ็ค ท่านเคยรู้สึกว่า “เอาล่ะ มีทุกอย่างแล้ว พร้อมที่จะพอแล้ว ไปสู่ทางหลุดพ้นดีกว่า ไม่เห็นมีอะไรเลย ทำไปก็อยู่อย่างนี้เรื่อยไป” เคยคิดอย่างนี้บ้างไหมล่ะ แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่มีหรอก ยิ่งได้ก็ยิ่งอยากได้ขึ้นไปอีก จุดพอจะถูกตั้งไว้ส่งเดชข้างหน้าอย่างนั้นเอง เช่นสฉันจะอยู่แค่ 70 ปีก็พอ ตอนพูดอายุเท่าไหร่ 55 มั้ง ลองไปถามคนอายุ 70 ดูซิ เขาน่าจะตายได้แล้วนะ เขาจะยอมไหม ดังนั้นเมื่อคนที่ว่าจะอยู่แค่ 70 ปี พอถึง 70 จริงๆ ก็โยนไป 80 อีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป เรื่องเงินก็แบบเดียวกัน ไม่มีพอหรอก

ก่อนจะมาถึงวันนี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จที่เคยตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้ว่า หากฉันมีเท่านั้น เท่านี้ แลัวฉันจะมีความสุข วันนี้สุขหรือยัง พอหรือยัง พร้อมหรือยังล่ะ สำหรับการปล่อยวาง หรือตั้งเป้าใหม่ไปอีก หรือจะรู้เองเลยว่า มันกลายเป็นหนักกว่าเดิม ปากพูดไปเหมือนจะรู้ว่าหนัก แต่กูก็ยังทำต่อไปไม่หยุด

ถึงวันนั้น ใช้ภาษิตที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” ไม่ได้นะ เพราะมันไม่ทันได้เห็นโลงและไม่ทันได้หลั่งน้ำตา เพราะมันอาจกะทันหันจนตาเบิกโพลง


เขียนเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2554


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น