ทำไมท่านจึงตรัสอย่างนี้ จุดนี้ต่างจากคำสอนของพระศาสดาในศาสนาอื่นๆ ทั้งหมด พระพุทธเจ้าทรงสอนหมวดธรรมหลากหลายหมวด ทั้งคุณธรรมจริยธรรม เช่น สอนให้มีศีล เป็นคนดี ส่วนของพระก็มีปาฏิโมกข์ ข้อบัญญัติที่พระต้องปฏิบัติตาม หากพระไม่เชื่อท่าน คงจะปั่นป่วนแน่ๆ เพราะฉะนั้นในกาลามสูตรท่านต้องการจะสื่ออะไร ต้องการหมายถึงอย่างไรกัน อย่าเชื่อเพราะฟังตามๆ กันมา อย่าเชื่อเพราะคัมภีร์ว่าอย่างนั้น อย่าเชื่อเพราะคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่าเชื่อเพราะเห็นว่าคนนี้เป็นอาจารย์เรา ฯลฯ ที่สำคัญคือคนมักจะฟังคนอื่น เพราะมักจะมีเหตุผลสารพัดมาทำให้ดูน่าเชื่อถือ
ดังนั้นในคำสอนขั้นสูงคือการหลดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงนั้น มีนักบวชนอกศาสนามากมายบำเพ็ญตบะเพื่อสิ่งนี้ แต่ท่านทราบดีว่าไม่มีใครถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้จริงแม้สักคนเดียว มีเพียงพระองค์ที่ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองเท่านั้น และสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้นั้นคือความจริงอันประเสริฐสี่ประการที่จะทำให้สัตว์ทั้งหลายพ้นไปจากสังสารวัฏ และทางที่จะเข้าถึงอริยสัจสี่นี้ก็คือ อริยมรรคมีองค์แปด
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือได้รู้แจ้งในอริยสัจจนปล่อยความยึดถือในขันธ์ เพราะปล่อยความยึดถือจิต ขันธ์จึงเป็นอิสระ เข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไม่ยึดเอาสภาพทุกข์มาเป็นของเราอีก สภาพนี้ไม่ใช่ให้เหล่าสาวกทำความเข้าใจตามท่าน แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับแต่ละคนเองเมื่อปฏิบัติตามมรรค นั่นคือเมื่อมีคนเจริญมรรค คนๆ นั้นจะรู้แจ้งขึ้นมาอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเข้าถึงสภาพนั้นก็จะเสมอกันด้วยวิมุตติเท่าเทียมกันทั้งหมด ไม่มีว่าผู้มีบารมีมากจะวิมุตติมากกว่าก็หามิได้ แต่ความเคารพในพระมหากรุณาธิคุณนั้นยังมีเต็มเปี่ยมหาที่สุดมิได้
ไม่เชื่อเพียงเพราะ…(ตามกาลามสูตร)…นั้น ต้องปฏิบัติให้รู้แจ้งเอง ด้วยตนเอง แล้วถึงตอนนั้นก็จะเข้าใจ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนอย่างแท้จริง (เพราะตน ความจริงก็ไม่ใช่ตน ภาษาธรรมก็ต้องอาศัยภาษาโลกมาสื่อ)
เขียนเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น