ลอกขนมชั้น

ขนมชั้นนี้อาศัยความเพียรอันถูกต้อง อาศัยสติอันถูกต้อง อาศัยสมาธิอันถูกต้องเป็นเครื่องมือลอกออก


ขั้นตอนแรก

ลอกความเห็นผิดในตัวตน ตัวกูที่หลงสร้างขึ้นมา ใครด่า “กู” ถ้าแฟนทำให้โกรธ เขาต้องมาขอโทษ “กู” ไม่อย่างนั้น “กู” ไม่ยกโทษให้ วันไหนสิวขึ้น ฝ้าขึ้นเป็นทุกข์มาก เพราะมันขึ้นหน้า “ของกู” ไม่เห็นอนิจจัง ไปหลงสร้างตัวตนบุคคลเราเขาอย่างหยาบมากขึ้นมา นี่เป็นชั้นโลกียะเลย นี่เป็นเหตุให้ทุกข์ ทุกข์ทุกประเภทเกิดได้หมดแถมเกิดได้ทุกขณะเพราะเป้าใหญ่เหลือเกิน ลอกระดับนี้ลอกออกได้ตอนเป็นพระโสดาบัน แต่ในขณะปฏิบัติเริ่มเห็นความจริงแล้วว่า เป็นการทำงานของรูป-นามในบางขณะจิต ซึ่งจะสั่งสมความเห็นถูกอย่างนั้นไปเรื่อยๆ ความจริงเขาก็เกิดดับอยู่ทุกวินาที ไม่เคยมี “กู” เลย แต่เพราะไปหลงยึดรูปธรรม นามธรรมจึงบดบังสิ่งที่อยู่ต่อหน้าต่อตานี่เอง ไม่รู้จะว่าอย่างไร


ขั้นตอนที่สอง

เมื่อละความเห็นผิดในตัวตนบุคคลเราเขาลงได้ ทุกข์ก็ไม่ได้หมดไป เพราะความที่ไปหลงยึดมีอุปาทานในขันธ์ 5 อยู่ ยังเห็นขันธ์ 5 เป็นของเรา แต่สลับด้วยการเห็นความจริงของปฏิจจสมุปบาทไปไม่ขาดสาย จิตจึงพิจารณาธรรมอยู่ตลอดเวลา เห็นทั้งส่วนปล่อยและส่วนยึด เมื่อปล่อยมากกว่า กำลังในการสร้างปัญญาความเห็นถูกก็มากขึ้น จนสามารถเข้าใจได้ว่า เพราะสภาพรู้ที่ถูกครอบงำด้วยอวิชชานั้น สภาพรู้จึงเป็นของหนัก เห็นการเกิดดับของขันธ์ทั้ง 4 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ชัด แต่ด้วยความที่ใช้วิญญาณซึ่งแนบกันกับจิตเหมือนทิชชูแผ่นเดียว (แต่มีสองชั้น) จึงเห็นการเกิดดับในขันธ์ชัด แต่ไม่เห็นวิญญาณคือตัวเองเกิดดับ

เริ่มเข้าใจได้ว่า เพราะสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เห็นว่าเมื่อมีปัจจัยให้เกิดก็เกิด หมดปัจจัยก็ดับไป เข้าใจความไม่มีตัวตน (อนัตตา) ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เข้าใจปฏิจจสมุปบาทจากญาณทัสนะของตน ความตั้งมั่นสูงขึ้นมาก ก้าวเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลขั้นสูงขึ้นไป ใกล้จะละกิเลสังโยชน์ได้อีกขั้นเพราะเห็นจริงมากขึ้น


ขั้นที่สาม

เพราะเมื่อความตั้งมั่นสูงขึ้น ปัญญามากขึ้น จึงเห็นว่าการหลงยึดหรือเกิดราคะ (ยินดีพอใจ) หรือปฏิฆะ (ความไม่พอใจทั้งหลายมีเหตุมาจากการยึดถือที่สั่งสมมาสการติดรูปก็มาจากรสอร่อยทั้งหลายที่ใจไปหลงยึดเท่านั้น ผู้หญิงสวยก็สวยเพราะใจปรุงแต่งให้ค่า สิ่งนั้นดีสิ่งนี้ปราณีตก็เพียงจากใจไปปรุงแต่งให้ค่า จึงเกิดเป็นวิญญาณการรับรู้เป็นอารมณ์เป็นรูปเป็นขันธ์เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เมื่อเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วจึงไม่หลงรูปหลงขันธ์อีก วิญญาณเริ่มดับ เมื่อวางลงปลงลง รูปทั้งหลายหมดสภาพความลวงที่จะทำให้เกิดความหลงใหล เห็นสภาพจริงตามจริง ทะเลก็คือน้ำกับทราย ภูเขาป่าไม้ก็มีดินมากองกันกับต้นไม้ ดีไหม? ดี ดีตามจริงของเขา ไม่ดีแบบที่เราปรุงแล้ว ตรงนี้เป็นอริยบุคคลขั้นสูงขึ้น แต่ยังทุกข์อยู่เพราะต้นเหตุแรกยังไม่ถูกจัดการ


ขั้นสุดท้ายเผด็จศึก

ทั้งสิ้นทั้งปวงเพราะความที่จิตเองซึ่งเป็นธรรมชาติแต่ไปยึดถือตัวจิตเองเป็นเราอยู่ สิ่งนี้เป็นเหตุหลักที่ก่อให้เกิดความทุกข์ลงมาจนถึงปุถุชน เมื่อเกิดการยึดถือตั้งแต่ธรรมชาตินี้ก่อตัวมาชาติแรก เกิดความหลงผิดยึดถือจนเหตุปัจจัยรุนแรงและทรงพลังมากขึ้นที่เรียกว่าการสั่งสมของอาสวะหมักดองมายาวนาน

แต่อริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งมีอานุภาพสูงมากสามารถชำระได้ในเวลาอันสั้น แบบเทียบกันไม่ได้กับเวลาที่สั่งสมมาเลยทีเดียว ไม่ว่าการสั่งสมจะมากมายเพียงใด มรรคจะค่อยๆ ลอกขนมชั้น กลับไปจนถึงการก่อกำเนิดของทุกข์ทั้งปวงได้

เมื่อถึงชั้นนี้ ด้วยเหตุที่จิตยึดถือตัวเองจึงเป็นผลให้เกิดเป็นสังโยชน์ 5 ที่ยังเหลืออยู่จากการยึดถือจิต ตรงนี้จิตจะต้องเห็นอริยสัจอย่างแจ่มแจ้ง วางความยึดถือตัวเองลงทั้งหมด จึงเกิดการสลัดคืน เกิดจิตผู้รู้ที่ไม่มีการเกิดดับ ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องดูแล ไม่หลงสร้างความทุกข์ เกิดเป็นสัมมาญาณและสัมมาวิมุติขึ้น เพราะในการเดินทางมา เมื่อวางอุปาทานในขันธ์ลง วิญญาณดับนั้น ความที่จิตยังโง่ ไปหลงยึดว่านิพพานเป็นของเราอีก แต่เมื่อเกิดปัญญาสูงสุดจึงเกิดเป็นสัมมาวิมุติ จบกิจจบหน้าที่ ไม่มีใครต้องบอกใคร ไม่มีใครอยากจะรู้ “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ต้องทำได้ทำจบแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก” ตามคำพระบรมศาสดา ทะเลก็คือทะเล อารมณ์อันวิจิตรก็มีของมันอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครยึดถือ ก็ว่างแท้จริงเป็นธรรมชาติที่เป็นธรรมแท้

วันนี้เจริญมรรคนะ เพราะการเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป


เขียนเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2554


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น