คนตาบอดเถียงคนตาดี

คนตาบอดจะไม่เชื่อว่ามีคนมองเห็น เพราะความเป็นปรกติของความมองไม่เห็นมีอยู่เป็นปรกติ มีคนๆ หนึ่งมาพูดให้ฟังเรื่องดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ พูดให้ฟังเรื่องสวนดอกไม้และสลัมที่คนตาบอดอยู่ คนตาบอดจะไม่มีวันฟัง ต่อให้คนตาบอดตั้งใจฟัง แต่ต่างก็จะหาเหตุผลสารพัดและสารพัดเหตุผลมาคัดง้างขัดแย้งคำพูดของคนตาดีที่มาเล่าให้ฟัง

คนตาดีจะพยายามอธิบายให้ฟังอยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็พบความจริงว่าคนตาบอดไม่สามารถปลงใจเชื่อสิ่งนี้ได้ มีวิธีเดียวคือต้องให้คนตาบอดสังเกตและพิสูจน์เอง เพราะหากคนตาบอดพิสูจน์อย่างจริงจัง คนตาบอดย่อมต้องพบความจริงอย่างแน่นอน เพราะว่านั่นคือ “สัจธรรม”

เพราะความจริงมีอยู่ ดวงอาทิตย์มีอยู่ ดวงจันทร์มีอยู่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จริงๆ แล้วไม่ได้รอให้ใครมาพิสูจน์หรอก ปัญหามันอยู่แค่ว่า คนตาบอดจะเข้าถึงความมีอยู่จริงนี้ได้อย่างไรเท่านั้น มีทางเดียว คนตาบอดต้องเอาจริงเอาจัง ยืนกลางแจ้งสักเดือนหนึ่ง เขาจะสังเกตอะไรบางอย่างได้เอง

ดวงอาทิตย์หรืดวงจันทร์ไม่เคยเปลี่ยนไปตามความเชื่อหรือความเข้าใจผิดของคนตาบอด ส่วนหนึ่งของคนตาบอดนั้นก็คือนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ที่นึกว่าตัวเองแน่ ตั้งสมมติฐานหาเหตุผลเยอะแยะมาพิสูจน์ความคิดกู คนตาบอดก็จะเชื่อและฟังนักวิทยาศาสตร์บอดอธิบายอย่างน่าเชื่อถือ แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังคงส่องแสงต่อไป ดวงจันทร์ก็ขึ้นลงตามปกติ ไม่เคยเกี่ยวข้องใดๆ กับสารพัดเหตุผลของคนตาบอด

สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้บอกสอนล้วนเป็นสัจธรรมที่ท้า (คนตาบอด) ให้พิสูจน์ เพราะคนที่เดือดร้อนเพราะต้องทนทุกข์ต่อไปก็คือคนตาบอดนั่นเอง ทั้งๆ ที่มีผู้ที่มีจักษูมาบอก ไม่ใช่ดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ที่พลาดโอกาสที่คนจะรู้จัก แต่คือคนตาบอดเองที่จะพลาดโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้

เพราะสักวันหนึ่งจะไม่มีใครเชื่อคำพูดของพระองค์ ทั้งๆ ที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็ยังคงอยู่ คนตาบอดจะเชื่อคำคนตาบอดด้วยกัน จะไม่มีใครฟังคำของมหาบุรุษผู้มีจักษุเป็นเลิศอีกต่อไป นี้จึงเป็นเหตุเสื่อมแห่งคำสอนก็เพราะคนตาบอดเอง เป็นกรรมของคนตาบอดแท้ๆ


เขียนเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2554


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น