แต่พวกเราคงรู้อยู่แล้วล่ะ บอกไปให้เทียบเคียงกับความเข้าใจบ้าง อาจจะไม่ต้องเห็นเหมือนนะ เพราะเรื่องของปัญญาอ่านอย่างเดียวกันแต่ไปเห็นต่างกันก็ได้ ตามประสบการณ์หรือภูมิปัญญาของแต่ละคน
ลองนึกภาพตามนะ
สมมติท่านออกไปทำงานทุกวัน ท่านตื่นตี 5 ทำสมาธิครึ่งชั่วโมง อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ 6 โมงเช้า ทานข้าวเสร็จออกจากบ้าน 6 โมงครึ่ง ไปทำงานที่สีลม ท่านทำอย่างนี้มาทุกวัน บ้านตรงข้ามเห็นท่านออกจากบ้าน 6 โมงครึ่งทุกวันมุ่งหน้าไปทำงานที่สีลม ส่วนบ้านข้างๆ ตื่นเช้ามาออกจากบ้านไปทำงานที่สีลมเหมือนกันตอน 6 โมง 20
คราวนี้เพื่อนบ้านบ้านตรงข้ามเขาเอาท่านไปพูดว่า ท่านออกจากบ้านตามคนข้างบ้านทุกวัน สงสัยคงหลงชอบแน่เลย
อีกมุมมองหนึ่ง ไทเกอร์ วู้ดส์ แข่งกอล์ฟรอบตัดเชือกกับโปรเบิร์ด ธงชัย ใจดี โปรเบิร์ดออกอาการเกร็ง เล่นไม่ออก แพ้ไทเกอร์ขาดลอย
ไทเกอร์เคยแย่งตีลูกโปรเบิร์ดไหม ต่างคนต่างตีลูกตัวเอง มันแข่งกันตรงไหน เอาล่ะ แข่งกันน่ะผมรู้ แต่สภาวะจริงมันต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนของตนเท่านั้นเอง เราไม่ทำหน้าที่ของเราเพราะไปสร้างความรู้สึกมาเป็นแรงเสียดทาน จึงทำงานผิดพลาด เหนื่อย แล้วก็ทุกข์เอง
เอาอีกสักตัวอย่าง แม่รักลูกห่วงใยลูก เลี้ยงลูก ให้ในสิ่งที่ดีกับลูก แต่ลูกไปติดยา แม่เลยทุกข์ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่คนเป็นแม่ควรทำก็คือทำหน้าที่ของแม่ต่อไป แก้ไขต่อไปเพราะนั่นเป็นหน้าที่ของแม่ที่ดี ลูกที่ดีวันหนึ่งจะเห็นถึงบุญคุณของแม่เอง แม่ลดความทุกข์ลงได้นะ ไม่ผิด ไม่ทุกข์ไม่ได้แปลว่าไม่รักนะ ดัชนีชี้วัดความรักไม่ใช่น้ำตากับความทุกข์ เราทุกคนโดนโลกหลอกมา เราทำหน้าที่อย่างดีด้วยรักไม่ต้องทุกข์ก็ได้
โลกทำหน้าที่ของเขาด้วยสภาพของธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติมีการรักษาสมดุลของทุกสรรพสิ่ง แต่ความจริงที่เป็นสัจธรรมก็คือไม่เคยมีอะไรอะไรใดๆ เลยสักอย่าง ที่รักษาสภาพสมดุลได้จริงๆ จึงเป็นที่มาของ “อนิจจัง” ไงล่ะ
พระพุทธเจ้าทรงเห็นความจริงนี้ ท่านไม่ได้ตั้งกฎของไตรลักษณ์ให้สรรพสิ่งเป็นไปอย่างนี้นะ สรรพสิ่งเป็นสภาพจริงๆ อย่างนี้ทั้งหมด (ยกเว้นนิพพาน) รวมถึงกายใจ รูปนามนี้
ในสภาพที่สรรพสิ่งพยายามจะรักษาสภาพนี้ จึงเป็นสภาพทุกขัง ถ้าโลกไม่หมุน โลกจะถูกแรงของดวงอาทิตย์ดึงเข้าไป จะดูแต่ปัจจัยของดวกอาทิตย์อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะทุกสรรพสิ่งเกี่ยวโยงเชื่อมกันหมด ที่โลกหมุนเท่านี้ ดาวพฤหัสก็มีส่วน ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสก็มีส่วน มันโยงกันหมด เพราะความว่างเชื่อมสิ่งต่างๆ อยู่ จึงเกิดการเคลื่อน เมื่อเคลื่อนก็เกิดกาลเวลา เกิดเป็นพลังงานไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเข้าใจรูปนาม จะเข้าใจรูปนามระดับปรมาณู เมื่อเข้าใจระดับปรมาณูจะเข้าใจระดับจักรวาล ความว่างของจักรวาลก็ไม่ว่างจริง มีรูปนามโยงใยกันทุกอณู ทุกอณูต่างทำหน้าที่ของตนของตนในสภาพที่เหมือนเกี่ยวกันแต่ไม่เกี่ยวกัน แต่มีเหตุปัจจัยส่งต่อถึงกัน ความจริงเป็นสภาพไม่มีตัวตน มีเหตุปัจจัยส่งมาจึงเกิดขึ้น แต่เมื่อทำเหตุแบบให้หมดเหตุ จึงหมดการเกิดกับ
ตรงนี้อาจงง พอสร้างเหตุ 1 ผลจึงเกิด ซึ่งอาจจะไม่ใช่ 1 ก็ได้ เพราะเราดูจุดเดียว แต่ถ้าตามดูได้ครบทุกจุดที่หนึ่งไปกระทบ เอากลับมารวมกันยังไงก็ได้ 1 นั่นล่ะ ทีนี้ถ้าเหตุกระทบเป็น 0 ล่ะ การกระทบทั้งหลายไม่มีเหตุให้เกิดการเคลื่อนไหวสั่นสะเทือนอีก ดังนั้นอนัตตาธรรมจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
เราจึงเห็นครูบาอาจารย์หลายท่านแสดงนิพพานด้วยอนัตตาธรรม ส่วนพระพุทธเจ้าทรงเห็นแจ่มแจ้ง จึงบัญญัติศัพท์แยกออกไปในความหมายเดียวกันว่า สุญญตา ก็คืออนัตตาที่หมดเหตุเกิดอีกต่อไป อนัตตาจึงเป็นธรรมที่ลึกซึ้งมาก หากจะบอกว่าอนัตตาที่หมดเหตุเกิดก็คือสุญญตานั่นล่ะก็ไม่ผิดหรอก วันนี้จึงมีผู้เข้าไม่ถึงพยายามตีว่าอนัตตาใช้อธิบายสภาพสังขตะ โดยใช้โวหารแต่ไม่เข้าใจสภาพธรรม เพราะจุดปลายสุดท้ายของอนัตตากับสุญญตามันทับซ้อนกัน แต่จะให้ถูกตามคำพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องใช้คำว่าสุญญตา เพราะหมดเหตุเกิดแล้วผลจึงดับหมด เหมือนรถจักรไอน้ำฟืนหมดจะเติมแล้ว วิ่งต่อไปโดยเชื้อเก่าเท่านั้น
เขียนเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น