ถือศีลสิ ใครๆ ก็ทำได้ อย่าอ้างโน่นอ้างนี่…ทำเลย เท่านี้ก็จะได้เริ่มซะที ไม่ต้องรอเมื่อนั้นเมื่อนี้ อะไรกระทบไม่ว่าทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้ทันแล้วกลับมารู้ลม ทำได้ถ้าพยายามตั้งใจ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้น
รู้ประมาณในการกิน กินเท่าที่จำเป็น ไม่ใช่กินเพราะอยากกิน ทำไม่ได้หรือ? ไม่ได้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่ถ้าได้ ให้รู้อิริยาบถต่างๆ ให้มาก จะเกิดเป็นสติสัมปชัญญะ
เริ่มหาที่เงียบๆ หรือที่ๆ สัปปายะอยู่ แล้วละอกุศลและการคร่ำครวญที่เกิดขึ้น จนข้างในสงบลง
แล้วนั่งสมาธิ จนเห็นว่าสรรถสิ่งล้วนเกิดดับ ไม่ว่าจะกาย ความรู้สึก โลภ โกรธ หลง มีเหตุเกิดก็เกิด หมดเหตุก็ดับ จนหมดความยึดถือ เพราะมีเหตุเกิดก็เกิด หมดเหตุก็ดับ เมื่อหมดเหตุเกิดก็ไม่เกิด เมื่อไม่เกิดก็ดับอยู่อย่างนั้น ดับไปมากๆ ก็ดับไปตลอด ดับจนไม่เกิดอีก ก็จบกันไม่เอาด้วยแล้วทุกข์ทั้งหลาย
นี่ล่ะทางลัดสั้น ไม่ฟังเหตุผลของใครใดๆ ทั้งสิ้น เหตุผลทั้งหลายมาจากกิเลส ความจริงแท้ไม่ต้องพิสูจน์ พระอาทิตย์มีอยู่แท้ๆ แต่คนตาบอดนั่งเถียงกัน สร้างทฤษฎีพิสูจน์กันอุตลุด แล้วคนตาบอดส่วนใหญ่สรุปว่า ดวงอาทิตย์ไม่มี บางกลุ่มสรุปว่า ไม่มีทางที่จะมีใครมองเห็น บางกลุ่มบอกว่าเราทุกคนก็เห็นอยู่ทุกวันว่ามันมืดตลอด จะมีดวงอาทิตย์บ้าบอที่ไหน แล้วอะไรคือดวงอาทิตย์ เป็นแค่คนตาบอดคนหนึ่งเพ้อฝันขึ้นมาลอยๆ จึงสรุปแบบชัดเจนแน่นอนว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีอยู่จริง
ถ้าท่านเป็นคนตาดีท่าจะทำอย่างไรดี
ก. ไปดีกว่า
ข. พิสูจน์เถอะนะ…ได้โปรด
ค. อดทนอยู่กับคนตาบอด พูดไม่หยุด หวังว่าสักวันหนึ่งอาจจะมีใครเข้าใจแล้วดวงตาของเขาจะเกิดขึ้น
ง. เถียงสุดใจขาดดิ้น
ไม่ว่าท่านจะตอบข้อใด จะทำให้ท่านเข้าใจคำคำหนึ่งอย่างลึกซึ้งไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ นั่นคือคำว่า “พระมหากรุณาธิคุณ” ของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เขียนเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น