การวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

หลายท่านบอกฉันเองมีความสุขดีในชีวิต ไม่ค่อยทุกข์ไม่ค่อยร้อยอะไร อย่างนี้ถือว่าดีใช่ไหม?

ถ้าจะเอาสุขอย่างนี้เป็นตัววัด จะเป็นผู้ที่เคยปฏิบัติหรือไม่เคยปฏิบัติ ก็ทำได้เหมือนๆ กันอยู่แล้ว ในความเป็นจริงถ้าจะวัดความต่างกัน ต้องวัดตอนไม่ได้ดั่งใจ หรือเกิดเหตุการณ์ใดๆ ที่เป็นไปในทางลบ เรายังคงเป็นปรกติหรือกลับมาเป็นปรกติได้อย่างรวดเร็วหรือไม่ นั่นต่างหากที่เป็นเครื่องวัดว่าท่านก้าวหน้าหรือไม่

อารมณ์ต่างๆ ดับลงไปไวดุจกระพริบตาไหม นั่นล่ะที่ต้องฝึกละให้ไวๆ โลกนี้เราควบคุมผลไม่ได้หรอก ทุกวันนี้เราเพียงสร้างเหตุที่จะให้ผลเป็นไปอย่างที่เราตั้งใจให้มากที่สุด แต่ด้วยความที่ผลแต่ละอย่างอาศัยเหตุปัจจัยที่หลากหลายในการเกิดเป็นแต่ละผล เราจึงทำได้แต่เหตุที่เราสามารถจะทำได้ นั่นคือการกระทำอย่างดีที่สุดในเรื่องนั้นๆ ส่วนผลอาจจะเป็นหรือไม่เป็นไปตามที่คาดก็ว่ากันไป เมื่อไม่เป็นไปตามคาดเราก็สร้างเหตุต่อไปอีก ไม่ต้องไปทุกข์ว่าไม่เป็นไปดังใจหวัง หวังได้ แต่จะได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นกับใจหวัง ขึ้นกับสิ่งที่ทำ

ยกตัวอย่างเช่น แม่คนหนึ่งเลี้ยงลูก 2 คน เลี้ยงดูแบบเดียวกัน คนโตก็อาจได้ดังใจก็ไปยึดอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ผลนั้นสัมฤทธิ์จากปัจจัยมากมาย ทั้งสิ่งที่เด็กสั่งสมมา อุปนิสัย เพื่อน สภาพแวดล้อม สติปัญหา ฯลฯ ส่วนคนเล็กก็ว่าไม่ได้ดั่งใจ เกิดความทุกข์ขึ้นมาเพราะไปยึดในผล หากแม่เข้าใจธรรมชาติว่าคนเราก็ทำได้แค่ดีที่สุด เราเป็นแม่ก็ทำหน้าที่ของแม่อย่างดีที่สุด ผลจะเป็นอย่างไรก็เข้าใจ หากยังไม่ดีก็ทำเหตุต่อไปเรื่อยๆ สร้างเหตุที่ดีที่เป็นกุศลด้วยใจที่ปรารถนาดี แต่เข้าใจธรรมชาติของสัจธรรมอย่างนี้เรียกว่าทำหน้าที่ด้วยใจที่เป็นธรรม

ดังนั้นคนเราทำได้แค่ดีที่สุด ได้ชื่อว่าทำกุศลตลอดเวลาด้วยใจที่เป็นกุศลแล้วจะสุขใจ จากนั้นเมื่อกุศลค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนเต็มใจจะไม่ยึดในกุศลก็สบายขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง กุศลก็ทำไม่หยุด จิตกลับไม่ยึด กุศลก็เลยไม่เป็นแรงหนืดในใจอีก


เขียนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2554


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น