มีตัวตนมีเรามีเขาอยู่ไหมตอนนี้…มี (ตอบเอง)
ถ้ามี ต้องสังเกตดูกายกับใจ แต่เวลาดูใจแล้วต้องอิงกายสลับไว้ ไม่งั้นไหลไปเป็นใจ วันหนึ่งจะรู้ว่าไม่มีเรา เพราะเห็นมันเกิดๆ ดับๆ เป็นทุกข์
พอฟันธงลงไว้ว่า กายใจ เกิดๆ ดับๆ เป็นสภาพทุกข์แต่ไม่มีผู้ทุกข์ มีเหตุให้เกิดก็เกิด หมดเหตุก็ดับไป เดี๋ยวก็มีเหตุเกิดอีก หมดเหตุก็ดับอีก (คือผัสสะกระทบก็เกิด หมดเหตุภายนอกก่อน แล้วภายในก็ดับตาม) ตรงนี้จะเห็นจะรู้จักขันธ์ 5 แต่ถ้าพูดกันจริงๆ แล้วน่าจะบอกว่ารู้จักขันธ์ 4 เพราะเวลาไปรู้ว่าขันธ์เกิดดับนั้น เห็นว่าขันธ์ 4 คือนามรูป อันมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร เกิดดับ แต่วิญญาณที่ดูจะไม่เห็นตัวเองเกิดดับ คิดเอาไม่ได้นะ ดังนั้นตรงนี้รู้ขันธ์นามธรรมแล้วต้องวางทันที วิญญาณจะดับลงในเวทนาสัญญา สังขาร แล้วมารู้ลม วิญญาณจะมาเกิดที่รูป
เมื่อจิตตั้งมั่น จิตจะเห็นเองว่า ตัวเองเกิดดับเช่นกัน วิธีนี้เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าสอน ไปดูเรื่องอานาปานสติประกอบ
ละความเห็นผิดในความเป็นตัวตนลงได้แล้ว…(ใช่ไหม ถ้าใช่ เขามีชื่อเรียกบุคคลที่ละได้ว่า พระโสดาบัน เพราะฉะนั้นพระโสดาบันไม่ได้เป็นนะ) ถ้าใช่ จะเริ่มเห็นว่าเมื่อเกิดการกระทบคือผัสสะ จะเกิดเป็นผล เช่น เวทนา (พอใจ ไม่พอใจ อุเบกขา) ซึ่งผลเหล่านั้นสามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า อาการของจิตหรือพฤติกรรมของจิต เกิดขึ้นได้เพราะจิตสั่งสมนิสัย (สันดาน) เอาไว้ยาวนาน จะแก้สันดานต้องไปแก้ที่ตัวจิต จึงสังเกตต่อไป พระโสดาบันนี้รู้ๆ ละๆ มามากแล้ว จิตตั้งมั่นค่อนข้างมาก (กว่าคนทั่วไปที่เพิ่งเริ่ม) จึงไม่ค่อยไหลหรือถลำลงไปในอาการต่างๆ ของจิต เห็นว่ามีเหตุให้เกิดจึงเกิด หมดเหตุก็ดับ มีเหตุเกิดก็เกิดครู่เดียว หมดเหตุก็ดับลง แต่จะทันทีบ้างค้างบ้างก็ว่าไป เพราะพระโสดาบันยังมีปัญญาไม่มาก ตรงนี้จะเห็นความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้นตามลำดับไม่มีใครทำ ไม่มีใครถูกกระทำ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย (จะเห็นปฏิจจสมุปบาทขึ้นมาเอง ความเข้าใจเริ่มเกิดขึ้นแล้ว แต่จะเห็นจากนามรูปลงมา เพราะคนเฝ้าดูคือวิญญาณข้างบน วิญญาณจึงรู้เขาแต่ไม่รู้เราคือตัววิญญาณเอง) เพราะมีเหตุเกิดก็เกิด หมดเหตุก็ดับไป (จำตอนที่พระสารีบุตรบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันได้ไหม เพราะได้ฟังพระอัสชิพูดว่า “สิ่งทั้งหลายเกิดมาแต่เหตุ เมื่อหมดเหตุผลก็ดับ” เบื้องต้นของคำนี้จะคือระดับพระโสดาบัน เบื้องสุดคือเมื่อหมดเหตุคือหมดอวิชชาแบบจิตรู้อย่างแจ่มแจ้ง ผลก็ดับแบบสนิทเป็นนิพพานนั่นเอง) ดังนั้นเมื่ออินทรีย์ปัญญาแก่กล้าขึ้น ความเข้าใจเรื่องว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตนจะมากขึ้น อนัตตาเริ่มนำพาไปสู่สุญญตาที่แท้จริง ความจริงตอนเห็นอนัตตาก็คร่อมไปมาอยู่แล้วแต่ต่างกันตรงยังมีเหตุเกิดอยู่ ถึงจะไม่มีตัวตนก็เถอะ
อริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันไปจนถึงพระอนาคามีจึงเห็นความว่างจากตัวตนมากขึ้นตามลำดับ ชำระได้มากขึ้นตามลำดับ รู้แจ้งอริยสัจ 4 ขึ้นตามลำดับ เกิดญาณทัสนะขึ้นตามลำดับ
โลกนี้ว่าง….ก็ช่างหัวโลกมันปะไร (จะไปรู้มันทำไม) เพราะทันทีที่รู้ก็เกิดเรา (รู้) หมดรู้หมดเรา ไม่มีเรา ไม่รู้แต่ธาตุรู้ใหม่กลายเป็นธาตุรู้แท้ วิมุตติญาณทัสนะ ละความเห็นถูกลงด้วยตรงนี้
เขียนเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2554
ถ้ามี ต้องสังเกตดูกายกับใจ แต่เวลาดูใจแล้วต้องอิงกายสลับไว้ ไม่งั้นไหลไปเป็นใจ วันหนึ่งจะรู้ว่าไม่มีเรา เพราะเห็นมันเกิดๆ ดับๆ เป็นทุกข์
พอฟันธงลงไว้ว่า กายใจ เกิดๆ ดับๆ เป็นสภาพทุกข์แต่ไม่มีผู้ทุกข์ มีเหตุให้เกิดก็เกิด หมดเหตุก็ดับไป เดี๋ยวก็มีเหตุเกิดอีก หมดเหตุก็ดับอีก (คือผัสสะกระทบก็เกิด หมดเหตุภายนอกก่อน แล้วภายในก็ดับตาม) ตรงนี้จะเห็นจะรู้จักขันธ์ 5 แต่ถ้าพูดกันจริงๆ แล้วน่าจะบอกว่ารู้จักขันธ์ 4 เพราะเวลาไปรู้ว่าขันธ์เกิดดับนั้น เห็นว่าขันธ์ 4 คือนามรูป อันมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร เกิดดับ แต่วิญญาณที่ดูจะไม่เห็นตัวเองเกิดดับ คิดเอาไม่ได้นะ ดังนั้นตรงนี้รู้ขันธ์นามธรรมแล้วต้องวางทันที วิญญาณจะดับลงในเวทนาสัญญา สังขาร แล้วมารู้ลม วิญญาณจะมาเกิดที่รูป
เมื่อจิตตั้งมั่น จิตจะเห็นเองว่า ตัวเองเกิดดับเช่นกัน วิธีนี้เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าสอน ไปดูเรื่องอานาปานสติประกอบ
ละความเห็นผิดในความเป็นตัวตนลงได้แล้ว…(ใช่ไหม ถ้าใช่ เขามีชื่อเรียกบุคคลที่ละได้ว่า พระโสดาบัน เพราะฉะนั้นพระโสดาบันไม่ได้เป็นนะ) ถ้าใช่ จะเริ่มเห็นว่าเมื่อเกิดการกระทบคือผัสสะ จะเกิดเป็นผล เช่น เวทนา (พอใจ ไม่พอใจ อุเบกขา) ซึ่งผลเหล่านั้นสามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า อาการของจิตหรือพฤติกรรมของจิต เกิดขึ้นได้เพราะจิตสั่งสมนิสัย (สันดาน) เอาไว้ยาวนาน จะแก้สันดานต้องไปแก้ที่ตัวจิต จึงสังเกตต่อไป พระโสดาบันนี้รู้ๆ ละๆ มามากแล้ว จิตตั้งมั่นค่อนข้างมาก (กว่าคนทั่วไปที่เพิ่งเริ่ม) จึงไม่ค่อยไหลหรือถลำลงไปในอาการต่างๆ ของจิต เห็นว่ามีเหตุให้เกิดจึงเกิด หมดเหตุก็ดับ มีเหตุเกิดก็เกิดครู่เดียว หมดเหตุก็ดับลง แต่จะทันทีบ้างค้างบ้างก็ว่าไป เพราะพระโสดาบันยังมีปัญญาไม่มาก ตรงนี้จะเห็นความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้นตามลำดับไม่มีใครทำ ไม่มีใครถูกกระทำ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย (จะเห็นปฏิจจสมุปบาทขึ้นมาเอง ความเข้าใจเริ่มเกิดขึ้นแล้ว แต่จะเห็นจากนามรูปลงมา เพราะคนเฝ้าดูคือวิญญาณข้างบน วิญญาณจึงรู้เขาแต่ไม่รู้เราคือตัววิญญาณเอง) เพราะมีเหตุเกิดก็เกิด หมดเหตุก็ดับไป (จำตอนที่พระสารีบุตรบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันได้ไหม เพราะได้ฟังพระอัสชิพูดว่า “สิ่งทั้งหลายเกิดมาแต่เหตุ เมื่อหมดเหตุผลก็ดับ” เบื้องต้นของคำนี้จะคือระดับพระโสดาบัน เบื้องสุดคือเมื่อหมดเหตุคือหมดอวิชชาแบบจิตรู้อย่างแจ่มแจ้ง ผลก็ดับแบบสนิทเป็นนิพพานนั่นเอง) ดังนั้นเมื่ออินทรีย์ปัญญาแก่กล้าขึ้น ความเข้าใจเรื่องว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตนจะมากขึ้น อนัตตาเริ่มนำพาไปสู่สุญญตาที่แท้จริง ความจริงตอนเห็นอนัตตาก็คร่อมไปมาอยู่แล้วแต่ต่างกันตรงยังมีเหตุเกิดอยู่ ถึงจะไม่มีตัวตนก็เถอะ
อริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันไปจนถึงพระอนาคามีจึงเห็นความว่างจากตัวตนมากขึ้นตามลำดับ ชำระได้มากขึ้นตามลำดับ รู้แจ้งอริยสัจ 4 ขึ้นตามลำดับ เกิดญาณทัสนะขึ้นตามลำดับ
โลกนี้ว่าง….ก็ช่างหัวโลกมันปะไร (จะไปรู้มันทำไม) เพราะทันทีที่รู้ก็เกิดเรา (รู้) หมดรู้หมดเรา ไม่มีเรา ไม่รู้แต่ธาตุรู้ใหม่กลายเป็นธาตุรู้แท้ วิมุตติญาณทัสนะ ละความเห็นถูกลงด้วยตรงนี้
เขียนเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น