นรก สวรรค์ นิพพาน

อันธรรมดาคนตาบอดหัวดื้อ ย่อมปฏิเสธดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพราะถือว่าตัวเองมองไม่เห็น แสดงว่าไม่มี
ส่วนคนตาดี มองเห็นดวงจันทร์ยามค่ำคืนสุกสว่างเย็นตา เห็นดวงอาทิตย์สาดส่องแสงสว่างเจิดจ้าแจ่มใสอยู่ทุกวี่วัน
เหตุฉะนี้! เราจะเชื่อใครดี ระหว่างคนตาบอดกับคนตาดี
เฉกเช่นเดียวกับเรื่องนรกสวรรค์ ซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งแทงตลอดด้วยพระองค์เอง
ส่วนปุถุชนผู้มืดบอดด้วยอวิชชา หลงติดในเหยื่อกามคุณ มองไม่เห็นนรก-สวรรค์ เพราะตนเองไม่สามารถมองเห็นได้ จึงสรุปว่าสนรก-สวรรค์ไม่มี
(ที่มา: ปกในหนังสือ “นรกสวรรค์เราเลือกได้”)

ใจเร่าร้อนอยู่ เผารนอยู่ยังไม่รู้ แล้วประสาอะไรจะรู้นรกสวรรค์ ถ้ารู้จักสวรรค์จะรู้จักนรก ถ้ารู้จักนรกจะรู้จักสวรรค์ เมื่อรู้จักทั้งนรกสวรรค์แล้วจะไม่ยึดถือเลย เพราะล้วนเกิดๆ ดับๆ ไม่มีตัวตนอะไร ไม่เห็นมีอะไรน่าเอาน่าเป็นสักอย่าง เมื่อนั้นจักรู้จักนิพพาน

ตถาคตไม่เคยเห็นใจของปุถุชนไม่มีความทุกข์แม้แต่สักขณะจิตเดียว จะเห็นก็มีเพียงแต่พระอรหันต์ขีณาสพเท่านั้นที่ไม่มีความทุกข์

ตกลงที่ผ่านมานั้น เรารู้ถูกหรือรู้ผิด หรือว่าสุข ทุกข์ เฉยๆ นั้นเป็นทุกข์ทั้งหมด? สิ่งเกิดดับเป็นทุกข์ สิ่งเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ว่างจากตัวตน แปลว่าเกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัย ไม่มีผู้กระทำ ไม่มีผู้ถูกกระทำ วันนี้เราสร้างทั้งผู้กระทำและมีผู้ถูกกระทำขึ้นในใจเรา เพราะเราไม่รู้อริยสัจ เพราะเราไม่รู้อริยสัจเราจึงเห็นผิด เมื่อเห็นผิดแปลว่าไม่เห็นถูก (มิจฉาทิฏฐิ) เพราะถ้าเห็นถูกก็เป็นสัมมาทิฏฐิ เพราะถ้ามีสัมมาทิฏฐิจะรู้แจ้งอริยสัจ เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจะเป็นวิชชา เมื่อเกิดวิชชาก็ไม่เป็นอวิชชา เมื่อวิชชาก็วิมุตติ เมื่อวิมุตติจะเกิดวิมุตติญาณทัศนะ ไม่ใช่วิญญาณไปรู้ ไม่ใช่ผู้รู้แบบที่เราเข้าใจ เกิดเป็นสัมมาญาณ จึงเกิดสัมมาวิมุตติ เกิดเฉพาะที่พระอรหันต์เท่านั้น วิญญาณขันธ์ไปเข้าไปตั้งอาศัยในขันธ์อื่นๆ ให้เป็นอารมณ์ นั่นจึงว่างสงบเย็น

วิญญาณดับคือที่สุดแห่งทุกข์ วิญญาณดับเพราะสังขารดับ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ เมื่อวิญญาณดับนั่นจึงเป็นเพราะอวิชชาดับ เมื่ออวิชชาดับสนิท จิตไม่หยิบฉวยขันธ์ขึ้นมาอีกเพราะเห็นว่าขันธ์ 5 เป็นทุกข์ วิญญาณดับจึงไม่เกิดเป็นอารมณ์ เกิดภาพรู้แจ้งเห็นจริงเป็นวิมุตติญาณทัศนะ เป็นสัมมาญาณ

เดินตามทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้เป็นสัพพัญญู เป็นผู้รู้มรรค-มรรคัญญู เป็นผู้แจ้งมรรค-มรรควิฑู เป็นผู้ฉลาดในมรรค-มรรคโกวิโท ส่วนพระอรหันต์ทั้งหลายและเหล่าสาวกทั้งหมดเป็นผู้เดินตามมรรค-มัคคานุคา


เขียนเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2554


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น