เห็นถูก รู้แจ้ง 2

ไฟฉายฉายไปที่พื้น ที่โต๊ะ ที่ผนัง เกิดแสงสว่างขึ้น เพราะพื้น โต๊ะ  ผนังล้วนเป็นฉากทำให้เกิดแสงขึ้น แต่หากฉายไฟเข้าไปในจักรวาลอันมืดมิด นั่นหาทำให้จักรวาลสว่างขึ้นมาได้เลย

นั่นเป็นเพราะเมื่อไม่มีฉากขึ้นมาเป็นที่ให้แสงกระทบ แสงจึงหามีค่าไม่ เปรียบเสมือนเมื่อเรายังมีความยินดีพอใจคือราคะ ความเพลิดเพลินในอารมณ์คือนันทิ ความทะยานอยากคือตัณหาแล้วไซร้ ฉากอันเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณจะปรากฎมีขึ้น นั่นเป็นเหตุก่อให้เกิดภพชาติ

อย่าหลงวนในเนื้อเรื่องกันนักเลย อะไรที่ผ่านมาในชีวิตสมันต้องผ่านไปในที่สุด ลองนึกถึงวันที่เคยเจ็บปวดเป็นทุกข์ที่สุดในชีวิต วันนี้มันไปไหนแล้ว วันนั้นทำอะไรเป็นการก่อเวรทิ้งไว้หรือเปล่า ทุกข์วันนี้หายไปแล้ว แต่วิบากกรรมที่สร้างไว้ ยังคงอยู่รอผลนะ




บทความภายในเล่ม:

เกริ่นนำ | จดหมายจากอาจารย์ประเสริฐ | ทุกข์เกิดตอนคิด (ปรุงแต่ง) | ผิดก็ทุกข์ ถูกก็ทุกข์ | คิด ปรุงแต่ง ทุกข์ | สาเหตุ 5 ประการ ที่ทำให้ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง | ภัยพิบัติ ไม่ได้อยู่ที่เหตุการณ์ภายนอก ภัยพิบัติจากจิตโง่ไปทุกข์เอง | เราฝึกปล่อยวาง…ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย | ทำไมต้องเนกขัมมะ ปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างธรรมชาติของเราไม่ได้เหรอ | ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้า อะไรมาถึงก่อน | เล่นบาร์บี้ด้วยจิตว่าง | มีก๊าซไข่เน่า เพราะพื้นบ่อมันเน่า | จดหมายจากเด็กคนหนึ่งที่เรียกน้ำตาของครูพี่เลี้ยง | รู้ลม…ทางเดินสู่พระนิพพาน | ผ้าปูที่นอนแสนรัก | ธรรมะจากหลวงปู่แบน | ละอกุศลแล้วจะโชคดี | กาลเวลากัดกินเราเพราะเรายึดมันไว้ | ยายยิ้ม ผู้ที่นักปฏิบัติต้องคารวะ | Transformers | เบื่อไฟแดง | อย่าเป็นเปรตเฝ้าเหตุเฝ้าผล (คำหลวงปู่หล้า) | ทางเลื่อนในสนามบินสุวรรณภูมิ | จะได้ไปเที่ยวแล้ว | ปลวกขึ้นบ้าน | รถมีไหม? | สงสารเด็กทุกคน | ไก่กับพระอาทิตย์ | ออกจากกามแบบอยู่กับกาม | ประทับใจเด็กญี่ปุ่น | Real Time | ทุกอย่างว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน | น้ำแกล้งเราหรือ? | กูว่าแล้ว | อยู่กับน้ำ ต้องเป็นน้ำ | น้ำราดมด | อย่าทิ้งธรรมยามน้ำท่วม | ภัยพิบัติ 2012 | ประมาท | ทึ่ง! กับน้ำท่วมบ้าน | ทำไมมหาบุรุษจึงมีพระสิริโฉมงดงาม | เราจะยิ้มให้กำลังใจทุกคน | จิตอาสาปีหนึ่งทำกี่ที | กลัวภัยพิบัติ กลัวตาย | ความลำบาก ต้องทุกข์หรือ?


จดหมายจากอาจารย์ประเสริฐ

วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ ผมเพิ่งปิดคอร์สที่แพร่ จึงไม่ได้มีโอกาสไปร่วมงานในปีนี้ ผมสำนึกในบุญคุณที่หลวงพ่อสอนสั่งมาโดยตลอด หลวงพ่อทำให้พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจริงขึ้นมา แม้นเวลาล่วงไป 2,600 ปี แล้วก็ตาม ทำให้ผมและผู้คนเกิดความมั่นใจว่า หนทางแห่งการพ้นทุกข์จนถึงที่สุดนั้น ยังมีอยู่จริง ไม่เคยเปลี่ยนไปตามกาล หลวงพ่อเป็นหลักชัยให้นักปฏิบัติทั้งหลาย มุ่งมั่นเดินตามทางอันมีอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวทางอย่างอาจหาญ ไม่ย่อท้อ เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อให้บรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ ด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก

ทุกครั้งที่กราบนิมนต์หลวงพ่อไปแสดงธรรม ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่ากับใคร ไม่ว่าช่วงนั้นหลวงพ่อจะเจ็บป่วยอยู่หรือไม่ หลวงพ่อไม่เคยปฏิเสธเลย แม้ล่าสุด ที่จะนิมนต์หลวงพ่อไปบรรยายให้คนเพียง 40 คนฟัง ซึ่งเป็นผู้ตั้งใจปฏิบัติ การนิมนต์หลวงพ่อไปบรรยาย แม้เป็นการไปบรรยายเพียงคืนเดียว หลวงพ่อไม่เคยต้องคิด ถามเพียงว่า “เมื่อไหร่…ได้ หลวงพ่อว่าง” แต่คำตอบสั้นๆ นั่นมันหมายถึงว่า หลวงพ่อต้องตื่นแต่เช้ามืด เก็บข้าวของเดินลงจากเขา นั่งรถไปหาดใหญ่ นั่งเครื่องไปกรุงเทพ เดินทางไปปทุมธานี บรรยายเสร็จเช้าเดินทางกลับไปสนามบิน ต่อไปยังหาดใหญ่ นั่งรถกลับไปพัทลุง แล้วเดินขึ้นเขากลับวัด นั่นเป็นสิ่งที่ประทับใจศิษย์ทุกคนอย่างไม่มีวันลืม เพราะหลวงพ่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่า พระธรรมสำคัญที่สุด ที่ทุกคนต้องรักษาไว้

คำสอนสั้นๆ ของหลวงพ่อที่กินใจ บันทึกไว้ในใจของลูกศิษย์ทั้งหลายอย่างไม่มีวันลืมเลือน อาทิเช่น “ทำไมไม่เอาของเน่าไปแลกของดีล่ะ กายของเรานั้นเน่าอยู่แล้ว เราตายแน่ กายเรานั่นเน่าแน่นอน ทำไมไม่เอาของเน่าไปแลกสิ่งประเสริฐที่พระพุทธเจ้าให้ไว้”

เวลาที่ผมเดินทางประกาศธรรมในฐานะสาวก ไม่ว่าที่แห่งหนไหน ไม่ว่าผู้ฟังจะเป็นใคร ไม่ว่าจะลำบากเหนื่อยยากเพียงใด เวลาหลวงพ่อถามว่า “เหนื่อยไหม?” ผมตอบว่า “เหนื่อยครับ” หลวงพ่อจะให้กำลังใจว่า “ให้หายใจในปี่นะ” ผมน้อมรับและจดจำมาจนถึงวันนี้ คนทั่วไปเขาเหนื่อยเขาไปเที่ยวกัน เขาไปพักผ่อนกัน แต่เราเหมือนคนเป่าปี่ จะไม่สามารถวางปี่ลงได้ เราต้องอาศัยหายใจพักผ่อนไปในขณะที่กำลังเป่าปี่นะ

“จงมีชีวิตเพื่อผู้อื่น” เมื่อนั้นตัวตนเราจะสลายไป ความเห็นแก่ตัวจะไม่มี จะเห็นสรรพสิ่งเป็นอนัตตา จำไว้นะ หน้าที่ของเราให้ทำอย่างนี้ไปจนตาย ไม่มีใครดูแลก็ให้มันตายไปเลย ทำให้กับโลกอย่างเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่า การบรรลุธรรมสามารถเกิดขึ้นได้จากการแสดงธรรม

คำสอนทรงคุณค่าที่เปลี่ยนชีวิตผม คือคำที่หลวงพ่อทักในรถขณะนั่งไปด้วยกันคือ “เห็นไหมว่าตาไม่ใช่เรา” จากวันนั้น ผมจึงได้เห็นและเข้าใจ เป็นที่มาของความเข้าถึงความจริงอันยิ่งใหญ่

คำของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนสาวกเป็นอันมากและสั่งสอนมาโดยตลอด คือคำว่า

นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา

นั่นคือสิ่งที่ผู้คนไม่เข้าใจ ในคำสอนที่กระชับแสนสั้นของหลวงพ่อ ที่พร่ำสอนศิษย์มาตลอด ให้ภาวนาว่า “ไม่ใช่กู” เพราะคำว่าไม่ใช่กูนี่ คือการย่อทั้ง 3 ประโยค ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่สาวกนั้น เข้ามาสู่คำๆ เดียว เพราะเมื่อใครได้เข้าใจคำนี้ จนถึงที่สุดว่า แม้นจิตเองก็ไม่ใช่ “กู” เมื่อนั้นจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ หลุดพ้นไป

กราบแทบเท้าหลวงพ่อด้วยใจเคารพอันหาที่สุดมิได้

ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
สวนยินดีธรรม สุราษฎร์ธานี
www.suanyindee.net
13 พฤศจิกายน 2555


เกริ่นนำ

ตอนที่ฉันยังเด็ก เวลานั่งรถไปไหนมาไหนกับพ่อ ระหว่างที่ขับรถไป พ่อจะคอยเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังไปด้วยเสมอ เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เล่าข่าว เล่าถึงความเป็นไปในโลกใบนี้ให้ฟัง เล่าเรื่องยากๆ โดยอธิบายให้มันเข้าใจง่ายๆ บางครั้งตอนจบเรื่อง พ่อก็จะถามว่าฉันคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ฉันก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไป ที่ตอบออกไปอย่างที่คิด ถูกบ้างผิดบ้าง เข้าข้างตัวเองบ้างคนอื่นบ้าง จะตอบอะไรออกไปบ้างนั้นฉันก็จำไม่ค่อยจะได้แล้ว แต่อย่างหนึ่งที่จำได้แม่นก็คือ…

“ลูกรู้ไหม ทำไมพ่อถึงเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง”

ตอนนั้นรถติดอยู่ จู่ๆ พ่อก็หันมาถามฉันแบบนี้

ว่าแต่ฉันตอบหรือใช้เวลาคิดมากไปหน่อยก็มิอาจจำได้ แต่ฉันจำคำต่อไปของพ่อได้

“เพราะพ่ออยากให้ลูกคิดเองได้ จริงๆ แค่บอกคำตอบไปเลยพ่อก็ทำได้ แต่ในอนาคตภายหน้าสักวันหนึ่งที่พ่อไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว พ่ออยากให้ลูกคิดเป็น วิเคราะห์เป็น แล้วก็เอาตัวรอดอยู่ในโลกนี้ได้”

ตอนนั้นฉันก็ได้แค่ อืม อืมม แต่ตอนนี้คำพูดนี้มันกระทบใจเข้าอย่างจัง ตอนนี้ที่ฉันเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีอิสระในการใช้ชีวิต ตัดสินใจให้ตัวเองในทุกๆ เรื่อง ฉันรู้ซึ้งแล้วว่าพ่อหมายถึงอะไร

“สัมมาทิฏฐิ เปลี่ยนการดำเนินชีวิต และทั้งชีวิตของเราได้”

ถึงตอนนั้นพ่อจะยังเป็นนักธุรกิจอยู่ก็ตาม (ตอนนี้สิ่งที่พ่อทำไม่ใช่ “ธุระ” อีกแล้ว แต่คือธรรมะ เป็นนักธรรมกิจ) แต่ฉันคิดว่า หัวใจของพ่อที่ต้องการจะสอนให้ลูกคิดเป็นและมีความสุขในชีวิตได้ ไม่ได้ต่างไปจากตอนนี้เลย

หากเราคิดเป็น มีแนวคิดที่ถูกต้อง อย่างอื่นที่ดีๆ ก็จะเกิดตามมาเอง เพราะถึงจะเกิดเรื่องเลวร้ายขนาดไหน แนวคิดของเราก็จะทำให้เรามองในมุมที่ดีกว่า และอาจจะยับยั้งการกระทำที่เราไม่ทันคิดไว้อีกด้วย (ถ้าสติมาทัน)

เรื่องราวต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่พ่อสอน หากท่านเปิดใจให้กว้างพอ อาจจะได้มุมมอง แนวคิด การกระทำใหม่ๆ ที่ท่านไม่เคยเห็นไม่เคยทำมาก่อนเลยก็เป็นได้ และยิ่งท่านได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ แล้ว สิ่งที่พ่อสอนก็คงไม่สูญเปล่าแล้ว

ขออนุโมทนากับทุกท่าน

รัญชิดา อุทัยเฉลิม 
บรรณาธิการ


ทุกอย่างว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน

อ่านไป คิดไป ดีแล้ว เข้าใจแล้ว แต่ 3 วันลืม ไม่ต้องอะไรมาก ที่อ่านผ่านมานั้น จำอะไรได้บ้าง ในข้อคิดเพื่อปัญญานี้ ได้สัก 10% ก็เก่งแล้ว ที่เราจะเข้าถึงคำสอนได้คือ รู้แจ้งที่จิตใจของแต่ละคนเองนะ จะทำอะไร อย่างไร แบบไหน อย่ามัวเถียงกันให้เสียเวลา (จะตายกันอยู่แล้ว) จะทำอย่างไรกันก็ตามที เพราะอ่านกันมามาก ฟังกันมาเยอะ ถนัดทำแบบไหนก็เชิญ ทำให้เห็นให้ได้ว่าสรรพสิ่งทั้งปวง (รูปธรรม นามธรรม) ทั้งภายนอก ภายใน

  1. ล้วนเกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา
  2. สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นก็พยายามรักษาสภาพแต่ก็ทำไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปตลอด เหมือนการเดินประคองกะละมังที่เต็มไปด้วยน้ำ ให้น้ำไม่กระเพื่อมไม่กระฉอกนั้น เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะร่างกาย สิ่งของ หรือจิตใจ ล้วนอยู่ในสภาพเดียวกัน (เห็นภาพน้ำในกะละมังที่กระเพื่อมไหม เมื่อกี๊…นั่นล่ะสังขารการปรุงแต่งทำงานไวนะ)
  3. สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ ดับไปเพราะหมดเหตุ (มีเหตุให้ดับหรือเหตุเท่ากับศูนย์) เมื่อเห็นดังนี้ จะเห็นเองว่าสิ่งนั้นเป็นอนัตตา

เมื่อเห็นดังนี้ด้วยตัวเองในทุกสรรพสิ่ง จิตจะคลายความยึดถือ ทำไมจึงเห็นทั้ง 3 อย่างในทุกสรรพสิ่งล่ะ เพราะพระพุทธเจ้าสอนหรือ? เปล่า เพราะทุกสรรพสิ่งในโลกนั้น เป็นเพียงรูปและนาม ว่างจากตัวตน เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกอย่างเลย รวมพวกเราด้วย ไม่มียกเว้น ดูจริงๆ ก็จะเห็นเอง แต่ถูกยึดถือ จึงเกิดการบดบัง แบบบังมิด ทั้งๆ ที่มันก็เห็นๆ อยู่โจ้งๆ แต่โดนความปรุงแต่งพาแฉลบไปเห็นอย่างอื่นแทน นี่ก็เพราะความที่ไม่รู้ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ นี้คือหนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์ จึงเข้าไปยึดถือสิ่งต่างๆ เรื่องของเรื่องเพราะไปยึดขันธ์ 5 เป็นเรานี่ล่ะ เลยไปกันใหญ่

ในความเป็นจริง ทุกๆ อย่างในโลกว่างจากตัวตน เชื่อไหม? ไม่ต้องเชื่อ คนอ่านอยู่ก็ด้วย คนเขียนก็ด้วย (ตอนเขียนถึงตรงนี้ ยังเขียนอยู่ แต่ตอนอ่านถึงตรงนี้เขียนเสร็จแล้ว ตอนที่พิมพ์เนี่ยะ ยังไม่ได้อ่านแต่พิมพ์ไปก่อนว่าอ่านแล้ว แต่พออ่านนั่นน่ะพิมพ์เสร็จแล้ว ตอนที่อ่านนั้นเป็นอนาคตของการพิมพ์ หากเห็นอย่างนี้จะเข้าใจได้ว่า ทำไมเทวดาจึงเห็นอดีต อนาคต ปัจจุบันอยู่ในเวลาเดียวกัน) กลับมาที่เรื่องว่างจากตัวตน แม้พ่อ แม่ ปู่ ย่า ป้า น้า อา ต้นไม้หน้าบ้าน ข้างรั้ว ก้อนหิน สุนัขที่เล่นอยู่ที่บ้าน ที่วัด ปลาในน้ำ ไก่ในเล้า ฯลฯ ล้วนว่างจากตัวตนกันทั้งนั้น ไม่ได้คิดจะอธิบายให้เข้าใจหรอก เพียงให้ท่านเก็บไว้เป็นข้อมูล ไม่ได้บอกให้เชื่อ เพราะหากพิสูจน์ถูกตามคำสอนในองค์มรรค ก็จะเข้าใจได้

แต่คำว่า “ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน” นี้คนมักจะคิดกันไปเอง ว่าสภาพนี้เป็นอย่างไร โดยดูจากคำ แล้วมาตีความหมายเอาเอง จึงนั่งถกเถียงกัน เสียเวลาทั้งคนคิดและคนอธิบาย

ลองดูตัวอย่างง่ายๆ ดูซิ จะพอเข้าใจได้ไหม ต้นไม้ในบ้าน ถ้าเพลี้ยกินจนใบร่วง ทุกข์ไหม?…ทุกข์ ต้นไม้ กทม. ที่ปลูกไว้ข้างทางโดนเพลี้ยกิน ทุกข์ไหม?…ไม่ทุกข์ เพราะไม่ยึดเป็นของเรา เอาล่ะ นั่นเรามองในมุมของเรา

ที่นี้เรามามองในมุมของต้นไม้บ้าง ตกลงต้นไม้ของ กทม. ที่เราไม่ยึดมันอยู่ได้ไหม อยู่ได้ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เข้าไปยึด ต้นไม้ในบ้านเรา ถ้าเราขายบ้านแล้ว มันอยู่ได้ไหม ทั้งๆ ที่ไม่เป็นของเราแล้ว มันอยู่ของมันได้ไหม ตอนเราอยู่ เรารดน้ำใส่ปุ๋ยให้มัน มันก็อยู่ดีเพราะได้ธาตุอาหาร ถ้าเราไปแล้ว มันก็ดิ้นรนอยู่ของมัน ดิ้นสุดขีด แล้วอยู่ไม่ได้ ก็ตายไปตามธรรมดา มันเคยเป็นของเราตอนไหนหรือ?

แล้วกายใจล่ะ ถ้าไม่ยึดเป็นของเรา เวลาปวดฉี่เราต้องสั่งไหมให้ไปฉี่ เวลาหิวต้องสั่งไหม ให้มันออกแสวงหา ต้องสั่งหายใจไหม เขาทำโดยไม่ต้องมีเจตนาก็ได้ อาจงงสักนิด เพราะเรานึกเสมอว่ามีเราจึงไม่รู้ว่าความจริง เหตุการณ์มากมายในชีวิตที่เขาทำโดยไม่มีเรา แต่เรานึกเองว่าเราทำ จึงตีขลุมเป็นเราทำ เลยดูไม่ออก

ตกลงไม่ยึดว่าเป็นต้นไม้เรา รดน้ำได้ไหม? ได้ รดเพราะต้นไม้จะได้โต ไม่ได้รดเพราะเป็นต้นไม้เรา เคยซื้อปุ๋ยใส่ต้นไม้ข้างถนนที่ไม่ใช่ของเราไหม? ถ้าซื้อใส่แล้ว มันจะกลายเป็นของเราไหม?

รู้แจ้งเกิดปัญญาและปล่อยวางได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นหมดทุกข์ เพราะฉะนั้นที่พูดกันว่า ปล่อยวางๆ นั้นมีตั้งแต่ระดับหนูน้อย จนถึงขั้นสุดยอดเลยนะ ทำเถอะ ทำอะไรได้รีบทำ เดี๋ยวก็ตายแล้ว ถ้าตายจะไม่ได้ทำอะไรเลย รู้ลมสักทีก็ยังดี (เอาตรงนี้เลย) คนเราเดี๋ยวตายแน่นะ หากเราต้องตายตอนวินาทีที่ 60 วินาทีที่ 59 ยังบอกไม่ได้เลยว่าจะตายเมื่อไหร่ ตอนวินาทีที่ 59 อาจยังไม่รู้เลยนะ ว่าอีกวินาทีเดียวเราจะตายแล้ว ดังนั้นตอนนี้เราไม่รู้ว่าเราอยู่วินาทีที่ 59 รึเปล่านะ เราจะทำกุศล ไม่ทำอกุศลทั้งภายนอกและภายในใจทุกๆ วินาทีนะ แต่พอวินาทีที่ 60 มาถึง มันจะกลายเป็นปัจจุบัน ตอนนี้ล่ะ ตอนนี้ก็ปัจจุบัน ตอนนั้นก็ปัจจุบันเหมือนกัน


เขียนเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554


ยายยิ้ม ผู้ที่นักปฏิบัติต้องคารวะ

ยายยิ้ม หญิงร่างเล็ก หลังงุ้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสมชื่อ อาศัยในบ้านไม้ที่เกือบเสร็จ ท่ามกลางป่าเขา จ.พิษณุโลก อยู่ลำพังอย่างเดียวดาย ห่างไกลผู้คนและเงียบสงัด เมื่อ 20 ปีก่อน ยายมีบ้านอยู่ที่อำเภอพรหมพิรามกับลูกหลาน ตอนนั้นลูกชายคนเล็กตั้งใจจะมาบุกเบิกทำมาหากินบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความไกล ไข้ป่า และความลำบาก ส่งผลให้ลูกชายของยาย เลือกที่จะไปขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ และการไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรืออื่นๆ ยายยิ้มจึงตัดสินใจครั้งสำคัญ ไปอาศัยอยู่ที่บ้านในป่าผืนนั้น นับแต่นั้นมา

ลูกหลานขอร้องให้ยายกลับมาอยู่บ้าน แต่ยายไม่กลับ ลูกหลานจึงได้แต่มาเยี่ยมยายเป็นระยะ รวมถึงการนำเสื้อผ้า ผ้าห่ม ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ยาย ลูกชายคนที่ยังอยู่ในอำเภอพรหมพิราม บอกว่า “แม่เขาจะบอกว่าไม่ต้องเอามาให้มากนะ ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว สมัยยังเด็ก บ้านเราจนกันมาก พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็กๆ แต่แม่คนเดียวก็หาเลี้ยงลูกมาได้ มานึกดู แกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง หนักเอาเบาสู้ ไม่เลือกงาน”

ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางขุนเขา ยายไม่มีนาฬิกา แต่ทุกเวลาล้วนมีคุณค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้ ทำฝายเล็กๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้งและยังเป็นสายธารหล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์ และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้ ยายตั้งใจถวายให้ในหลวงและพระราชินี ยายรักในหลวงและพระราชินีมาก

กิจวัตรประจำวัน ตื่นแต่เช้า จุดธูปไหว้พระ เก็บมุ้ง กระย่องกระแย่งมาจุดฟืนหุงข้าว ตักข้าวสุกแรกเก็บไว้ ตักข้าวกินกับน้ำพริกหรือปลาแห้งที่เก็บไว้ ลงมากวาดลานบ้าน ซักผ้า หาบน้ำที่ลำห้วย ออกไปหาฟืนหาไม้มาเก็บไว้ ก่อนจะคดข้าวและน้ำพริกใส่กล่อง ใส่ย่ามสวมเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ใช้พร้าแทนไม้เท้า เวลาเดินข้ามห้วยข้ามหนองเข้าไปในป่าลึก ผ่านฝายเล็กๆ หรือคันนา ที่ยายทำไว้ 11 ฝาย

เป็นคันดินที่ยายใช้ “จอบกับใจ” ค่อยๆ ขุดขึ้นมา กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ กักเก็บน้ำ พอให้สัตว์เล็กได้มาอาศัย ต้นไม้ได้ชุ่มชื้น ระหว่างนั้นก็เอาข้าวมาโปรยให้สัตว์ในแอ่งดิน

ทำคันกั้นดินนี้เสร็จ ก็เข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ทีละฝาย ทีละฝาย เวลาแต่ละวันผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดินกลับบ้าน ชีวิตยายเป็นไปอย่างเรียบง่าย

ทุกๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโลเมตร บวกกับวัยชราของยาย ทำให้ยายใช้เวลาในการเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อมถอยลง ลำพังคนหนุ่มสาวจะให้เดินขึ้นลงเขาสัก 7-8 กิโลเมตร ยังเล่นเอาเหงื่อตก แต่สำหรับยายยิ้มถือเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอ ทุกวันโกนวันพระ เพราะไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ยายก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด

ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่องขรุขระ ยายยิ้มจะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหนื่อยก็พัก ถึงวัดกี่โมงไม่รู้ รู้แต่เมื่อถึงวัดก็เปลี่ยนชุดขาว สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำความสะอาดวัด ทำบุญ ก่อนจะเดินกลับบ้านในป่า ที่ยายเลือกใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังอย่างมีความสุขอีกครั้ง

เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ
เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์

พิธีกร:    ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม:  ลูกหลานเขาเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกิน เขาจะได้ได้บุญ และก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟือย
พิธีกร:    ฝนตกเปียกไหม (พูดถึงบ้านที่หลังคารั่วของยาย)
ยายยิ้ม:  ก็หลบๆ เอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก
พิธีกร:    เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม:  ลูกหลานเขาเอามาให้ ใส่ไว้ เขาจะได้ได้บุญ
พิธีกร:    แต่ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม:  ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดท่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยไปพึ่งเขา
พิธีกร:    ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม:  ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง…ส่วนสิ่งที่ทำ ถึงในหลวงท่านไม่เห็นแต่ผีสางเทวดาก็เห็น
พิธีกร:    ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม:  ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหาร นกอีกที รวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง
พิธีกร:    กลัวล้มไหม เวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม:  กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข
พิธีกร:    เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม:  เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข
พิธีกร:    เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม:  เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย
พิธีกร:    สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม:  คนอื่นเขาว่าลำบาก แต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์ มันก็ไม่ลำบาก
พิธีกร:    ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน:  ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือนละ 500 แกยังทำบุญหมดเลย
พระ (กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด): ไม่บาปหรอกยาย ช่วยๆ กัน ดูแลกัน
ยาย นั่งยิ้มด้วยความจำนน
ยาย เอาเงินที่เก็บๆ รวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ
ยายอวยพรให้ และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย

พิธีกร:    ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม:  (ยิ้ม) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวช ก็เลยทำบุญ ให้ยายทำบุญนะ (สงสัยจะเป็นเงินที่ทางรายการให้)
พิธีกร:    ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก
พิธีกร:    ยายมีของแค่นี้หรือ (หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น และบัตรประชาชน)
ยายยิ้ม:  แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา
พิธีกร:    จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม:  ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว
พิธีกร:    เวลายายไปตัดไม้ไผ่ ทำฝาย ไม่เกินกำลังหรือ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม:  (หัวเราะเบาๆ) มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายาม วันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่
พิธีกร:    ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม:  (ยิ้มสมชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า) ขาดความทุกข์

เรื่องราวของยายยิ้ม เรียกน้ำตาของคนที่ได้อ่านมามากแล้ว ทำไมหรือ? เพราะสิ่งที่เราแสวงหาทั้งหมด มันกลับทำให้เราเป็นทุกข์ บ้างก็เห็นแจ้งว่ามันทุกข์จริงๆ บ้างก็เป็นทุกข์อยู่แต่ไม่รู้ บ้างก็ว่า ฉันก็สุขดีกับเงินทองที่หามาได้ คนเมื่อเสพยานั้น จะแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้เช่นกัน สังเกตดูเถิด คนติดยาประเภทไหนหรือที่เขาอยากจะเลิกยา แล้วประเภทไหน ที่ไม่คิดแม้แต่จะเลิก ตกลงคนไหนโชคดีกว่ากัน ระหว่างคนทุกข์กับคนหลง?

พอได้อ่านเรื่องยายยิ้ม หลายคนเผลอพูดคำว่า อิจฉายายยิ้มจัง! แน่นะ ชีวิตนี้ถ้าเหลือเท่าที่ยายยิ้มมี จะยังสุขแบบยายยิ้มได้ไหมล่ะ ทำไมไม่ได้ล่ะ เห็นหรือยังว่าวัตถุนิยมทั้งหมด ยายยิ้มวางลงแล้ว คนจนแบบไม่มีอะไรแบบยายยิ้มมีเยอะนะ แต่จิตใจของยายยิ้มไม่จนแล้ว จิตใจของยายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว ยายยิ้มใจเต็มแล้ว ใจไม่มีหลุมที่จะต้องเติมอะไรลงไปอีก คนจนทั่วไปลองมีคนเอาอะไรต่ออะไรไปให้ จิตใจก็จะเริ่มหลงลำพอง เมื่อรวยขึ้นมาก็จะกลายเป็นหลงวัตถุนิยมต่อไป เหมือนคนโลกๆ แต่ยายยิ้มได้แสดงให้เห็นในทุกการกระทำและทุกคำพูด

อ่านทุกคำหาความเห็นแก่ตัวไม่มี (เพราะไม่มีตัวแล้ว) ทุกคำแสดงถึงความหมดตัวตน มีเงินก็ให้คนอื่น ทำบุญจนหมด เสื้อผ้าใส่จนขาดไม่เปลี่ยนเพราะอะไร เพราะใส่ให้คนให้เขาได้บุญ ในกระเป๋าใบเล็กๆ มีบัตรประชาชนกับของเล็กน้อย พกไว้ทำไม เพราะถ้าตาย คนอื่นจะได้ไม่เดือดร้อนต้องไปหา ใครจะเอาอะไรไปให้ ยายบอกอย่าเอามาเลย ยายพอแล้ว เหนื่อยไหม…เหนื่อย แต่ถ้าไม่คิดว่าเหนื่อย มันก็ไม่เหนื่อย คนที่พูดอย่างนี้ ไม่ได้คิดแล้วมารู้ รู้แล้วละนะ แต่ว่างไปแล้ว พูดให้คนเข้าใจและทำได้เฉยๆ คนที่ถึงธรรมอย่างเป็นเนื้อแท้ไม่ต้องอธิบาย มีแต่ความสุข ไม่แปลกใจที่ยายบอกว่า ขาดอย่างเดียวคือความทุกข์

ปฏิบัติไปแล้ว วันหนึ่งความมีกับความไม่มีจะไม่ต่างกันในการให้ความสุขแก่คนผู้นั้น เพราะฉะนั้นจะมีไปทำไม ในเมื่อไม่มีไม่เป็นภาระแล้ว มันสุขไม่ต่างกันแม้สัก 0.0000001 วันนี้ท่านทั้งหลายมีของข้างนอก ก็ให้มีไว้ใช้ก็แล้วกัน แต่ใจอย่าไปยึดไปหวงแหน ดูแลกันไปให้ดี เสมือนพระดูแลบาตร ของทุกอย่างไม่เคยมีใครเป็นเจ้าของ แล้วบ้านที่ซื้อแล้วมีโฉนดล่ะ แล้วรถที่ผ่อนเสร็จแล้วล่ะ (ต้องผ่อนหมดแล้วด้วยนะ ดังนั้นที่ยังผ่อนอยู่อย่าหลงผิดนะ) จิปาถะที่ซื้อมาเป็นของเราล่ะ ไม่ใช่หรือ?

เขาให้ยืมไว้ใช้ ใช้แล้วต้องดูแล แต่เราทำผิดเงื่อนไข คือคิดแต่จะปล้นมาเป็นของเราทั้งๆ ที่เอาไปไม่ได้ ทำไมจะไม่ทุกข์ล่ะ เศรษฐีที่เหนื่อยทั้งชีวิต มีปราสาทหลังใหญ่ๆ เพียงแค่การทรงอยู่ได้ของชีวิต ต้องเหนื่อยขนาดนี้เลยหรือ ต้องทำบาปทำอกุศลอย่างนี้เลยหรือ ถามตนเองว่ายิ่งมี ยิ่งอยากมีอีก หรือยิ่งมี ยิ่งไม่อยากตายไหม เพราะหลงสุขที่ไม่มีอยู่จริง จึงทำทุกอย่างเพื่อให้สุขมันจีรัง โดยไม่เห็นว่าสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา เวรกรรมตามไปแน่ แต่ทรัพย์สิน แม้แต่คนรักสักคน ไม่มีทาง ชาติต่อไปคนที่เรารักอาจเป็นอะไรก็ได้ แล้วเราก็เช่นกัน หมา แมว นก ปลา ฯลฯ ที่เลี้ยงอยู่วันนี้ คิดว่าเมื่อก่อนเขาเป็นอะไรหรือ แล้ววันหนึ่งถ้าเรายังหลงอยู่ ก็อาจจะมีคนรักหรือคนที่เราเคยดูแลอยู่วันนี้ มาเลี้ยงดูเราก็ได้

เป็นให้ได้ครึ่งหนึ่งของยายยิ้มนะ คือมีทรัพย์สินอยู่อย่างนี้ แล้วสุขสักครึ่งหนึ่งของยายยิ้ม อยากได้เท่ายายยิ้มต้องหมดอยาก แล้วไม่ว่าจะมีหรือไม่มี (ทรัพย์สินภายนอก) ก็มีความสุขเท่ากัน เพราะใจนั้นสงบเย็นไปแล้ว


ข้อคิด

จิตที่สุขสงบเย็นนั้น มาจาก ปราศจากกามสุขทางวัตถุมากระตุ้นให้อยาก (ตัณหา = สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์) หมดความยึดถือในขันธ์ 5 เพราะตัวขันธ์เองทั้งหมด ล้วนเกิดดับเป็นทุกข์ สิ่งเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน เกิดตามเหตุเกิด หมดไปเมื่อหมดเหตุ เมื่อปล่อยวางขันธ์จึงหมดเหตุเกิด นั่นเป็นนิพพาน ตอนเห็นอนัตตานั้นกำลังเห็นความจริงแล้ว การเห็นอนัตตาจึงคร่อมกันระหว่างโลกและธรรมแท้ เมื่อปฏิบัติจนหมดเหตุในการสร้างตัวตน ก็สงบเย็นในที่สุด

ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ ทางไปนิพพานนั้นเงียบ เงียบได้เพราะเห็น เห็นแล้วคลายความยึดถือ คลายความยึดถือจึงดับ เมื่อดับก็ว่าง เมื่อว่างก็สงบเย็น เมื่อสงบเย็นก็ไม่ยึดถือ เมื่อไม่ยึดถือก็สลัดคืน


เขียนเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2554


Real Time

ภพชาติมีจริงไหม? ทำผิดตกนรกหรือ? คิดชั่วตกนรกหรือ? คิดดีเป็นเทวดาหรือ?

หากวันนี้ทุกอย่างเกิดแบบ Real Time จริงๆ เช่น นั่งเบื่อ นั่งเผลอๆสเหม่อๆ ภูมิของเราคือเดรัจฉาน ลองนึกภาพว่านั่งอยู่ที่เก้าอี้ตอนนี้ แล้วสภาพร่างกาย (หยาบ) ของเราเริ่มแปลงร่างไปเป็นหมา นั่งเป็นหมาแทน (นึกภาพหมานั่งดูสิ ตอนนี้เราเปลี่ยนไปเป็นหมาแล้ว นั่งเป็นหมานานแค่ไหน แล้วแต่แต่ละคน) อยู่ๆ สติระลึกว่าเผลอไป ก็กลับมาเป็นคนอีก

นั่งๆ ไปสักพัก ชักหิว อยากกินส้มตำรสแซ่บๆ กลิ่นมะนาวนำออกแนวเปรี้ยวหวาน กุ้งแห้งตัวโตๆ เผ็ดพอได้เลย (ตอนนี้กลิ่นออกมาจากหนังสือแล้ว น้ำลายสอเลย ปรุงไหมล่ะ?) ตอนนี้กายหยาบของเราก็กำลังแปลงร่างเป็นเปรตแล้ว สังเกตดูว่าลำตัวของเรายืดออก ขาที่เคยสั้นๆ เริ่มยาวกว่าขาเก้าอี้แล้ว แขนก็ยาว เกินกว่าจะวางบนโต๊ะได้

หากนั่งๆ อยู่มีใครทำให้ไม่พอใจ กายของเราก็จะเปลี่ยนไปตามใจอีกคือ โกรธ แค้น เริ่มเปลี่ยนเป็นสัตว์นรกแล้ว ใจร้อนผ่าวบีบคั้น เหงื่อแตก มือสั่น ภูมินี้รุนแรงเพราะเห็นไหมว่ากายมันจะเปลี่ยนจริงๆ เพื่อให้เป็นสัตว์นรก ตัวแดง ควันออกหู

เมื่อจิตใจของเราอยู่ในภูมิใด ภพของเราในขณะนั้นก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เชื่อไหมล่ะ ถ้าไม่เชื่อ ย้อนดูตัวเองนะว่า เวลาเพื่อนให้ของขวัญมา เราชอบใจมีความสุขกับของนั้น วันใดที่เพื่อนเราเผาเรือน เราโกรธเพื่อน หากเห็นของชิ้นนั้นอีก เราจะไม่อยากมองเลย หรืออยากเอาออกไปให้พ้นๆ ถามจริงๆ เถอะว่า ของขวัญมันเปลี่ยนไปจากวันแรกอย่างไรหรือ…เปล่าเลย ใจเราต่างหาก แปลว่าหากใจเราเป็นอย่างไร โลกรอบตัวเรา (ภพ) จะเป็นอย่างนั้นไปด้วย วันไหนทะเลาะกับแฟน เวลาไปทำงานจะรู้สึกว่าที่ทำงาน หรือคนที่เราพูดคุยด้วย มันขวางหูขวางตาไปหมด นั่นคือใจท่านอยู่ในภูมิสัตว์นรก ภพรอบตัวท่านก็เป็นภพของสัตว์นรก ถ้านับกันที่จิตล้วนๆ ท่านอยู่ในภพภูมิสัตว์นรกแล้ว ถ้านับรวมกายเข้าไปด้วย มันจะกึ่งๆ เพราะกายหยาบเปลี่ยนไม่ได้ทันที จึงยังคงรูปของคนไปก่อน จนกว่ากายนี้หมดอายุขัย แต่คงไม่ต้องสงสัย ว่าพอหมดสภาพแล้ว ท่านจะกลายไปเป็นอะไร กายที่สมควรจะก่อร่างสร้างขึ้นมาจากที่สั่งสมไว้ ไม่เคยหายไปไหน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นท่านก็คงลืมเรื่องนั้นไปหมดแล้วด้วยซ้ำ มันจะได้โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่กายที่สมควร โดยก่อร่างสร้างขึ้นมาจากที่สั่งสมไว้ไม่เคยหายไปไหน เพราะสิ่งเหล่านั้นถูกบันทึกไว้ในจิตวิญญาณ

วันนี้ท่านเป็นมนุษย์หรือยัง ท่านเลือกเกิดเองนะ จัดการได้ก็ไม่จัดการ มัวแต่ไปโทษคนอื่น

แล้วเกิดมีใครปล่อยวางความยึดถือ เห็นแล้วว่า เราไม่มี กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ไม่เกิดความรู้สึกปรุงแต่งให้เห็นผิดเป็นเราอีก เขาผู้นั้นจะไม่ทุกข์กับอะไรๆ ได้อีกเลย ภพตอนนั้นเขาจะเป็นอะไรดี ภูมิของเขาควรจะเป็นอะไร แล้วเขาจะเกิดเป็นอะไรอีก หากเขาไม่เป็นอะไร ไม่เอาอะไร อะไรจะเป็นเชื้อเกิด

รู้แล้วนะ ว่าเราควรละอะไร ละเปรต ละอสุรกาย ละสัตว์นรก ละเดรัจฉานในตัว สร้างภูมิมนุษย์ ภูมิเทวดา สร้างพรหมให้เกิดในใจ แล้วปล่อยวางภูมิทั้งหลายที่เป็นกุศลอีกครั้ง แต่ไม่เลิกทำกุศล (อย่าเข้าใจผิด) เห็นแจ้งในความจริงว่า (ใจ) ยึดอะไรก็ทุกข์ทุกที (ใจ) ไม่ยึดไม่ทุกข์ (ใจ) ยึดดี ติดดี ก็ยังไม่พ้น เหนือดี ไม่เอาดี แต่ไม่เลิกทำดี เมื่อนั้นล่ะดีจริง


เขียนเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2554


Transformers

หากใครประสบอุบัติเหตุ แต่ได้รับการเปลี่ยนอวัยวะเป็นครึ่งคนครึ่งหุ่น เดี๋ยวนี้ก็คงพอจะเทียบกับพวก Transformers ได้

เมื่อก่อนผมไม่รู้ธรรมะใดๆ แต่ผมเคยสงสัยมากๆ ว่า อนาคตเมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้น เมื่อแขนขาดเราจะเปลี่ยนแขนกลเข้ามาแทนได้ไหม ซึ่งทุกวันนี้ก็เห็นอยู่ว่าวิทยาการก้าวหน้าไปจนสามารถสร้างอวัยวะเทียมให้ใช้แทนที่อวัยวะของเราได้ ตอนแรกก็ใช้การบังคับเหมือนรีโมท แต่หลังๆ ทำท่าจะโยงสายไปเชื่อมกับสมอง สมองสั่งให้ขยับเองได้ ซึ่งถ้าเรียนรู้ฝึกฝน วันหนึ่งก็จะใช้ได้อย่างกับของติดตัวมา แต่ผมก็สงสัยต่อไปอีกว่า แต่มันไม่รู้สึกนี่ จะเหมือนกับแขนเราได้ไง สมมุติเราจุดเทียนโดยใช้แขนกล ขณะจุดเทียน ไฟเกิดลุกมาโดนมือกล มือกลก็จะไม่รู้ อาจทำให้สายไฟภายในเสียหายได้ ไม่เหมือนมือเรา ถ้าร้อนเรารู้ เราจะชักมือออกทัน ก่อนไฟจะลวกมือเสียหาย ดังนั้นถ้ามันสามารถทำตัวเซ็นเซอร์มาคอยจับความร้อนบ้างความเย็นบ้างที่จะทำความเสียหายให้แขนกลนี้ มันก็จะสามารถรักษาตัวเองได้ดีขึ้น

แต่เอ๊ะ…แขนเรามีเซ็นเซอร์รับสิ่งที่มากระทบ ก็เพราะมันเอาไว้รักษาตัวมันเองนี่ มันเกิดเป็นเวทนาที่คอยเตือนให้ร่างกายนี้หลบหลีกจากภัย ไม่ได้มีไว้ให้สุขให้ทุกข์ ให้พอใจหรือไม่พอใจ วันนี้เรายึดถือมันเพราะความโง่รึเปล่านี่ พอเราหลงผิด ก็เลยคิดว่านั่นเป็นอาการของเราขึ้นมา หากแขนกลได้รับการติดตั้งเซ็นเซอร์ว่าเมื่อร้อนให้จี๊ดที่สมอง พอจี๊ดที่สมองก็จะได้ขยับมือออก นานไปนานไป เราก็คงจะชอบไม่ชอบการจี๊ดนั่นขึ้นมาอีก เป็นสุขเป็นทุกข์กับมันขึ้นมาอีกแน่เลย

วันแรกๆ เราคงไม่หลงเมื่อมันจี๊ดขึ้นมา แถมรู้สึกดีที่มันจี๊ด เพราะมันช่วยเตือนจะได้รักษาอุปกรณ์นี้ไว้ได้ แต่นานไปเราคงโง่ไปหลงยึดแขนกลนี้เป็นเราเป็นของเราอีกแน่เลย แล้วก็พอใจไม่พอใจกับอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ความเป็นจริงร่างกายนี้ ก็ร้างขึ้นอย่างมีเหตุมีผลที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา (เพราะสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น) ด้วยสภาพของการดิ้นรนอยู่ของรูปนามเอง

อ้าว หรือว่าแขนจริงของเราก็ก่อเกิดกำเนิดขึ้นมาแบบแขนกล จากการดิ้นรนเพื่อความอยู่ให้ได้ของรูปนามนี้เท่านั้น มันสรรค์สร้างเวทนาและระบบประสาทมา เป็นเครื่องช่วยให้มันอยู่รอด โดยปราศจากเรา จากความไม่รู้ เราเลยไปยึดทุกอย่างมาเป็นเราเป็นของเรา จึงสุข ทุกข์ขึ้นมา

อยู่ไปอยู่มา เรามาจากไหนกันนี่ ถึงได้ไปเอา ตา (กล) หู (กล) จมูก (กล) ลิ้น (กล) กาย (กล) มายึดถือว่าเป็นของเรา ด้วยความที่รูปนามนี้ พัฒนาตัวเองมาอย่างยาวนาน โดยนามธรรมที่ค่อยสร้างรู้สึกขึ้นมาทีละเล็กละน้อย จนวิจิตรพิสดารในวันนี้ ด้วยความเป็นธรรมชาติที่ไม่มีเจ้าของ แต่จากความไม่รู้ จึงเกิดพลังงานโง่ไปถือครองทุกอย่างที่มีอยู่ เป็นเรา เป็นของเราไปหมดเลย วันนี้จะกลับไปเห็นแบบวันแรกสุดเลยนั้น ทำไม่ได้เสียแล้ว

เชื่อไหมว่า ทุกวันนี้อวัยวะทุกๆ อย่างของเราก็คือ Transformers ที่โดนเรายึดเป็นของเราโดยเขาไม่รู้เรื่องด้วย สภาพไม่รู้เรื่องด้วยเขาเรียกว่า สุญโญ (ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน) หุ่นเนื้อนี้โดนคนโง่ไปยึดถือว่าเป็นกายกู หุ่นก็ไม่ได้ว่าเราโง่ หุ่นก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาไปด้วย วันหนึ่งจะเห็นถูกว่ากูโง่ไปยึด หุ่นเองก็ไม่สนใจเพราะว่างจากตัวตนของมันอยู่แล้ว จะบำรุงบำเรอทาสีทาครีมให้พิสดารแค่ไหน หุ่นก็มีอายุของมัน ตามที่เหล็กจะอยู่ได้ หรือแบตเตอรี่ไฟยังไม่หมด

แล้วตกลงนี่ หุ่นไม่รู้เรื่องด้วย แล้วใครยึด มีธรรมชาติเดิมอย่างหนึ่งที่สมมุติชื่อว่า จิต จิตเป็นสภาพรู้ซื่อๆ จิตดันโง่ไปยึดถือตัวมันขึ้นมา เมื่อมันยึดถือตัวมัน จึงเกิดผลพวงไปยึดถือทั้งหุ่นทั้งความรู้สึกต่างๆ เป็นของเราไปหมด (ขันธ์ 5) นี่คือที่มาของเรื่องวุ่นไม่รู้จบ แต่งหนังไปได้ไม่มีภาคจบ เพราะ Transformers นี้จะ Transform ตัวเองไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่า หมู หมา กา ไก่ คน เทวดา สัตว์นรก อสุรกาย พรหม นิยายเรื่องนี้ไม่มีภาคจบ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้วชี้บอก จะไปยึดหุ่นมาเป็นเราทำไม และที่สำคัญไอ้เจ้าความรู้สึกทั้งหลายนั่นก็ด้วย ปล่อยเขาไปเถอะ จะได้กลับบ้านที่สงบเย็นตามพระบรมศาสดาไปกัน


เขียนเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2554


สงสารเด็กทุกคน

แม่ทำเพื่อลูกนะ แม่อยากให้ลูกได้ดี ลูกเรียนมากๆ วันหนึ่งลูกจะเก่ง ดูสิ แม่กลับมาจากที่ทำงาน เหนื่อยแล้วยังต้องมานั่งดูแลลูกทำการบ้านอีก เสร็จแล้วไปซ้อมเปียโนก่อนอาบน้ำนะ แม่ยอมเหนื่อยเพื่อลูก แม่รู้ดีว่าตอนเล็กๆ แม่ขาดอะไร แม่จึงพยายามเติมเต็มทุกอย่างให้ลูก แม่ตอบได้ทุกอย่างที่ลูกคุยให้ฟังทั้งๆ ที่ยังเล่าไม่จบ แม่เก่งจริงๆ…(เลยโว้ย)

ท่านฝ่ารถติดไปทำงาน ลูกก็เบียดอยู่ในรถโรงเรียนหรือรถเมล์ ก่อนเข้าที่ทำงาน ท่านแวะซื้อสับปะรด พอเบื่อ ท่านก็อาศัยเวลาว่างนั่งกินกับเพื่อน เม้าท์กันหน่อยเพื่อผ่อนคลาย ลูกก็อยากทำ แต่หากทำอย่างนั้นครูจะเรียกออกไปยืนหน้าห้องเพื่อทำโทษ ถ้านายเดินมาว่า ว่าท่านไม่สนใจหรือตั้งใจทำงาน ท่านจะโกรธ ถ้าหากนายมอบหมายงาน 7 อย่างให้ท่านทำในหนึ่งวัน ท่านบ้าแน่ ทำได้ชั่วโมงหนึ่ง เดี๋ยวเรียกไปถาม ว่างานที่ให้ไว้เมื่อเช้าเสร็จหรือยัง เดี๋ยวอีกชั่วโมง จะใช้อีกโครงการหนึ่งนะ ท่านถูกลากไปลากมาทั้งวันตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น (แต่ขอโทษ ลูกท่านเริ่มเข้าแถวตอน 7 โมงครึ่ง) พอกลับถึงบ้าน นายโทรมาบอกให้ไปพบลูกค้าอีกรายก่อน เดี๋ยวค่อยกลับ ท่านยอมฝืนไปตามสั่ง เพราะไม่สามารถขัดขืนได้ เถียงไปก็โดนด่าโดนว่ากลับ พอเสร็จงานทั้งหมด ท่านหมดแรง ได้แต่วาดฝันว่า ถึงบ้านจะขอหยุดพักอยู่เงียบๆ นอนเอกเขนก ดูทีวี ไม่รับโทรศัพท์ใครอีก

โถ…นั่นยังไม่เท่าที่ลูกน้อยของเราต้องเจอเลย เขาเรียนวันละ 7 ชั่วโมง เสร็จแล้วต่อด้วยเรียนพิเศษก่อนกลับ ถูกจับจ้องด้วยสายตาของครูตลอด เดินเข้าห้องโน้นออกห้องนี้ สมองปรับไม่ทันเลย ว่าตอนนี้กำลังเรียนอะไรกันแน่ จบศิลปะจินตนาการยังค้างอยู่ เปลี่ยนไปเรียนเลข พอครูถาม ตอบไม่ได้ก็ว่าโง่ วันนี้ท่านวางหูใครแล้วอารมณ์ดับไวดุจกะพริบตาไหมล่ะ แล้วลูกล่ะ จบจากโรงเรียนที่แสนเหนื่อยในแต่ละวัน แม่บังคับให้ไปเรียนเปียโน เรียนพิเศษ โลกนี้เขามีเสาร์อาทิตย์ไว้ให้พัก ไม่งั้นมันจะโอเวอร์ฮีท แต่เปล่า ลูกมันเรียนไม่รู้เรื่อง ก็เลยต้องไปเรียนพิเศษเพิ่มอีกหน่อย ถ้าเสาร์อาทิตย์เจ้านายให้ท่านไปฝึกอบรมให้เก่งเท่าไอน์สไตน์เลย นั่นแปลว่าเจ้านายใจ (โคตร) ดี ใช่ไหม? เจ้านายพูดทวงบุญคุณทุกวันเลย ว่าเจ้านายรักเรา เลยอยากพัฒนาเรา เพื่อวันหนึ่งเราจะได้คิด E=MC2 ได้เอง จะได้ไปอยู่กับ NASA ท่านถามตัวเองดูสิว่า ท่านจะพูดอย่างไร (ในใจ เพราะไม่กล้าพูดออกเสียงอยู่แล้ว)

แม่จ๋า…เอา “กู” ออกเถอะ เอาออกแล้ว จะร้องไห้กับสิ่งที่ทำมา วันนี้แม่เก่งที่สุดในโลกเลยหรือ ท่านจะทำให้ลูกเก่งที่สุดในโลกเลยหรือ ในหนึ่งองค์กรมีคนเป็น 1,000 คน ท่านอยู่ลำดับไหนขององค์กร ลูกต้องอยู่ที่อันดับไหน เขาจึงมีความสุข ท่านคิดว่าคนที่หนึ่งขององค์กรมีความสุขหรือ หากวันนี้ไม่สอนให้เขารู้จักความสุข เขาจะไม่พบกับความสุขเลยทั้งชีวิต เหมือนกับ…แม่

ลูกเขาก็คิดเหมือนกัน ว่าบ้านจะเป็นที่ที่เป็นโลกส่วนตัวของเขา ได้พัก ได้โทรศัพท์คุยกับเพื่อน ได้หัวเราะ ได้กินขนมบนเตียง ได้อ่านหนังสือการ์ตูน ได้เอาผ้าห่มมาทำเป็นบ้าน ที่เขาได้เป็นเจ้าของบ้าง… แต่อนิจจา เขาไม่เคยมีโอกาสทำอย่างนั้นเลย เพราะ…แม่ส เพราะแม่รักเขา (จนจะอ้วกอยู่แล้ว)

เมื่อไหร่ที่เขามีกำลังพอที่จะต่อต้าน แม่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ลูกฉันมีปัญหา…ไม่ใช่หรอก แม่นั่นล่ะที่มีปัญหา

แม่ทำดีน่ะดี แต่ทุกวันนี้มันแค่อยากให้ลูกเป็นอย่างที่เราคิด เขาไม่ได้อยากได้ ทั้งลูก ทั้งสามีนั่นล่ะ เราจะมองการณ์ไกลแค่ไหนก็เอาเถอะ แต่คิดถึงกาลปัจจุบันไว้บ้าง เพราะถ้ามันไม่รอด ตั้งแต่กาลนี้ อย่าหวังว่ามันจะมีกาลข้างหน้า มันจะปลิ้น แตกเสียตรงนี้ล่ะ คิดถึงหัวอกเขาหัวอกเราบ้าง แล้วจะพบความสมดุล

หากอะไรๆ มันไม่เป็นไปอย่างหวัง ลูกเกิดไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีเงินไม่มีทอง ก็ขอให้สุขแบบยายยิ้มเถอะ หากต้องเป็นคนรับใช้ (ทุกวันนี้ก็คนรับใช้กันทุกคนนั่นล่ะ) ก็ขออย่างนางขุชชุตตราเถอะ หากจะร่ำรวย ก็ขออย่างนางวิสาขา หรืออนาถบิณฑิกเศรษฐี คนทั้งหมดนี้ เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น เป็นอะไรก็ไม่มีวันทุกข์ มีแต่สุขโดยส่วนเดียว


เขียนเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2554


ไก่กับพระอาทิตย์

ไก่ขัน…พระอาทิตย์ขึ้น
ไก่ขัน…พระอาทิตย์ขึ้น
ไก่ขัน…พระอาทิตย์ขึ้น
ไก่ขัน…พระอาทิตย์ขึ้น

เพราะไก่ขัน พระอาทิตย์จึงขึ้น…เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

“ปัญญา?”


ข้อระวัง

ระวัง “กู” คิดแล้ว หลงนึกว่าเกิดธัมมวิจยะได้นะ แล้วเชื่อไหมว่า กูเก่ง กูรู้ ใครทักก็ไม่เชื่อ ก็มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยกันเห็นๆ จะเป็นมิจฉาได้ยังไง นี่ล่ะ สัมมาทิฏฐิ “ของกู”


มุมมอง: ไก่กับพระอาทิตย์
บนศาลพระภูมิ ขอให้ได้งาน…ได้งาน = พระภูมิทำ
ไปเข้าคอร์ส…รถชน = เพราะเข้าคอร์ส รถเลยชน (มันไม่คว่ำก็ดีแล้ว)
รู้โกรธ…โกรธดับ = เพราะรู้โกรธ โกรธจึงดับ บางวันพอรู้ แล้วไม่ดับเลยหงุดหงิด เมื่ิอก่อนก็ไม่เคยรู้นะ ก็เห็นมันดับเองได้ เตะหมา หมาโกรธ เอาขนมโยนไปให้หมา หมากระดิกหาง หายโกรธ เกิดเป็นโลภแทน โกรธดับไหมล่ะ ดับเอง ตามสัญชาตญาณ หมาเองก็ไม่มีสตินี่ ทำไมโกรธดับได้ล่ะ

ก่อนไปนอน เห็นคนนั่งทำงาน ตื่นมาตอนเช้า เห็นเขายังนั่งทำงาน เลยถามว่า เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ? เปล่า นอนหลังเธอ 5 นาที แล้วเพิ่งมานั่งทำงานเมื่อกี๊นี้เอง ก่อนเธอมา 5 นาที

อะไรๆ ก็อาจใช่หรืออาจไม่ใช่ ใดๆ ในโลกโดยเฉพาะสังขาร ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น มันอาจใช่และอาจไม่ใช่ งงไว้ แล้วจะหายงง

ปัญญาที่แท้จริงมาจากสัมมาทิฏฐิ อย่าให้เป็นปัญญาแบบคนขายลูกเหม็น มีไว้โอ้อวดสรรพคุณหลอกคนซื้อ แต่แมลงสาบกลับไม่กลัวเลย


เขียนเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2554


เบื่อไฟแดง

ไฟแดงอีกแล้ว สงสัยออกจากบ้านก้าวเท้าผิด…มิน่า จิ้งจกทัก วันนี้เจอทั้งไฟแดงเจอทั้งรถไฟ

ใครสๆ ก็ชอบไฟเขียว ตำรวจนี่โง่จริงๆ ทำไมเรื่องแค่นี้ไม่รู้ว่าคนชอบไฟเขียว ไม่ชอบไฟแดง น่าจะประชานิยมเสียหน่อย เปิดไฟเขียวมันเสียทุกด้านทุกแยกเลย คนจะได้สรรเสริญ คนมีปัญญาก็จะรู้ล่ะ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น (ไม่มีปัญญาก็รู้ เรื่องแค่นี้) แล้วบ่นอะไร?

เวลาเรารอไฟแดงมันหงุดหงิดร้อนใจ บางคนเถียงในใจว่า ฉันไม่เห็นเป็นเลย ฉันเฉยๆ จริงหรือ? เพิ่มโจทย์เข้าใจอีกหน่อย จะได้รู้จักกิเลส เอาคนที่คุณรักใส่เข้าไปในรถ แล้วกำลังป่วยหนัก ต้องถึงมือหมออย่างเร็วที่สุด หรือมีนัดสำคัญที่พลาดไม่ได้ ตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้ายังไม่ขยับตอนไฟแดงที่หนึ่ง วิ่งไปสักพักแดงอีกแล้ว นานด้วยสิ ขยับไปนิดเดียวแดงอีกแล้ว คนเราเวลาโดนหมาล่าเนื้อขย้ำตัวแรกยังพอทน แต่พอตัวที่สองตัวที่สาม มันจะหลุดล่ะทีนี้

ไม่เคยมีไฟแดงครั้งไหนไม่เขียว ทำไมต้องแดงด้วย ตำรวจเองก็คงไม่อยากถูกด่าหรอก เชื่อเถอะ ทุกวันนี้เราได้สิ่งที่ไม่ควรจะได้มาจากความโง่ของเราเองคือทุกข์ คุณเคยทราบไหม ว่ามีคนมีความสุขจากไฟแดงมากมายบนท้องถนน จะด้วยมุมมองที่ถูกหรือเหตุการณ์มันเป็นอย่างนั้นก็ตาม เช่น กำลังจะโทรหาลูกค้าหรือเจ้านาย บางคนเช็คเมลส่งเมลระหว่างรถติด หนุ่มสาวเพิ่งเดทกันนั่งจีบกัน บ้างป้อนข้าวลูก กินข้าวเช้า แต่งหน้า ปัดขนคิ้ว ทาเล็บ สารพัด คนเหล่านี้มีความสุขเวลารถติดไฟแดง แต่ก็โง่อยู่ดี เพราะอยากให้แดงนานๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว ว่าไฟจะแดงจะเขียว มันไม่เกี่ยวกับอยากของใคร ทุกข์มาทั้งขึ้นทั้งล่องทั้งเฉยๆ

ไฟเขียวมาถึงแน่โดยไม่ขึ้นกับอยาก (ให้เขียวไวๆ ของใคร) หรือไม่ขึ้นกับไม่อยาก (ให้เขียวเพราะธุระยังไม่เสร็จ) ดังนั้นทั้งอยากและไม่อยาก ไม่เกี่ยวกับไฟจะแดงไฟจะเขียวเลย ที่ต้องแดงก็เพราะมีเหตุให้เกิด สุดท้ายก็ต้องเขียวเพราะมีเหตุ ลมหายใจเข้าอึดอัด ลมหายใจออกผ่อนคลาย เอาลมออกอย่างเดียวดีไหมล่ะ เข้าใจโลกตามจริง อย่าตั้งค่าอย่าหลงโลก เข้าใจสรรพสิ่งตามจริง ทุกข์ไม่เกิด โลกนี้ไม่ได้เป็นไปตามใจเรา เขาเป็นของเขาอย่างนั้น แค่บังเอิญถูกใจเราที่ตั้งไว้เองจึงเกิดเป็นพอใจและไม่พอใจหรือกลางๆ เท่านั้นเอง เมื่อวาง ไม่ยึดถือ เข้าใจเหตุ จะเกิดการปล่อยความยึดถือ สภาพทุกอย่างจะเป็นไปตามเหตุปัจจัย เราทำได้นะด้วยการทำเหตุ ทำแต่เหตุที่เป็นกุศล ทำอะไรอยู่บนความถูกต้อง ลูกน้องนิสัยไม่ดี ลูกนิสัยไม่ดี ก็ต้องดุต้องว่า แต่ไม่ต้องไปโกรธไปแค้นให้ลงนรกทั้งเดี๋ยวนี้และอนาคต การปล่อยวางเขา ใช้วางความยึดถือภายใน ไม่ใช่วางการกระทำที่ถูกต้องภายนอก ถ้าวางการกระทำที่ถูกต้องนั้น เขาเรียกว่าปล่อยปละละเลย

ไฟแดงต้องเขียวแน่ ทำงานถ้ามี 9 โมงเช้ามี 5 โมงเย็นแน่ ไปท่องเที่ยววันแรก วันสุดท้ายมาถึงแน่ โดยไม่ขึ้นกับอยากให้ถึงหรือไม่อยากให้ถึงของใคร แล้ววันสุดท้ายหรือวันตายมาถึงแน่ไหม มาถึงแน่

แต่ความตายเป็นสิ่งแน่นอนไหม?…ก็ต้องแน่ซิ ใครๆ ก็ต้องตาย…นั่นเป็นมุมที่มองจากฝั่งปุถุชน

เพราะในพระอรหันต์ เมื่อไม่มีผู้ตาย แล้วใครตายล่ะ ความตายจึงไม่แน่นอน เป็นอนิจจังเช่นกัน เพราะมีคนตาย เมื่อหลงว่ากูตาย ถ้าไม่มีกูตายแล้วใครจะตาย มันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง


เขียนเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2554


รถมีไหม?

คนมีรถ…มีรถ

ตอนกำลังอ่านอยู่วินาทีนี้ รถมีไหม…มี ไม่มี (รถมีอยู่ แต่ในใจไม่มีรถในขณะอ่าน) ตอนที่รถในใจไม่มี ไม่มีสุขไม่มีทุกข์กับมันเลยนะ ถูกไหม

ถ้าอยู่ๆ ใครเอารถไปเฉี่ยว แล้วโทรมาวินาทีนี้เลย ทุกข์ไหม…ทุกข์ เพราะรถข้างนอกถูกเฉี่ยว รถข้างในก็ถูกเฉี่ยว ใจแป้วเลย

ถ้าวันที่เห็นความจริงคือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการแล้ว เมื่อรถข้างนอกถูกเฉี่ยว มันไม่มีอะไรข้างในให้เฉี่ยว เพราะมันไม่ได้ปรุงแต่งมาเป็นของเรา เสียหายก็ซ่อมไป มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ ทุกๆ อย่าง มีดีก็มีเสีย อุเบกขาอยู่ตรงนี้ ไม่ทุกข์แล้ว แถมไม่ยึดอุเบกขาด้วย

ตกลงรถมีไหม?



เขียนเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2554


จะได้ไปเที่ยวแล้ว

“นี่เธอ ฉันจองทัวร์ไปเมืองนอกไว้ ช่วงปีใหม่ 4 วัน”

“เหรอ ดีจัง ฉันก็ลงชื่อไปคอร์สเข้มไปเข้าป่าไว้เหมือนกัน ช่วงพฤศจิกานี้ คงตื่นเต้นน่าดู”

“อยากให้ถึงไวๆ จัง” …พูดพร้อมกันทั้งคู่


อีกตั้ง 3 เดือนแน่ะกว่าจะถึง

นี่ทุกข์ 3 เดือน แลกกับสุขที่ไม่รู้แน่หรือเปล่า เอ้า ต่อให้สุขด้วย ยิ่งสุขกลับมา ยิ่งทุกข์อีกหลังจากนั้น

อยู่วินาทีนี้ให้มีความสุขเลยเถอะ อย่ารอความสุขเอาป้ายหน้าเลย ถ้ามันมีจริง มันมาถึงแน่ จะได้ไม่ต้องโง่ทุกข์ฟรีจากการรอคอย

แต่ที่สำคัญ เราจะอยู่ถึงไหมนั่น ยังไม่แน่ แล้วทัวร์ที่จองไว้ คอร์สที่จองไว้ จะมีไหมก็ยังไม่รู้เลย เกิดน้ำท่วมขึ้นมา เจ้าภาพก็ยกเลิก หรือถ้าวิทยากรตาย เขาก็ยกเลิก เปลี่ยนเป็นงานศพแทน แน่ๆ ตอนนั้น เลยหมดสนุกกัน

อย่าฝากชีวิตไว้กับสิ่งภายนอกเลย เพราะความสุขมันหาได้จากภายใน ของจริงมีแน่ก็แค่ตอนนี้ล่ะ ส่วนอนาคตนั้นเฝ้ารออยากให้มันถึง พอมันมาถึง มันก็คือตอนนี้ล่ะ เห็นอย่างนี้แล้ว ก็จะทำตอนนี้ล่ะ ให้หมดกังวลไปในอนาคต

ดังนั้น ในปัจจุบัน บุญทานการกุศล ช่วยเหลือผู้คนต้องทำให้มาก เพราะยิ่งทำ ยิ่งสุขกายสบายใจ

ไปทำให้โลกมีความสุขกันเถอะ ด้วยการช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ทุกที่ทุกย่างก้าวที่มีโอกาส พวกเราจะทำความดี ช่วยคนอื่นให้มากที่สุด ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ


เขียนเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2554


ประทับใจเด็กญี่ปุ่น

ด้านล่างเป็นบันทึกของชาวเวียดนามผู้หนึ่ง ซึ่งไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่เมืองฟุกุชิมะ 9 วันหลังจากเกิดมหาวิบัติภัย

ความประทับใจที่ได้รับจากเด็กญี่ปุ่น 9 ขวบ (เหตุการณ์สึนามิเมื่อต้นปี พ.ศ. 2554)

“เมื่อคืนนี้ ผมถูกส่งไปที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง เพื่อช่วยหน่วยงานอาสาสมัครในการแจกจ่ายอาหารให้กับผู้ประสบภัยพิบัติ ในหมู่ผู้เข้าคิวยาวรออยู่นั้น ผมสังเกตเห็นเด็กชายอายุประมาณ 9 ขวบคนหนึ่ง ซึ่งใส่เพียงเสื้อคอกลมและกางเกงขาสั้น อากาศขณะนั้นหนาวเย็นมาก และเขากำลังยืนคอยอยู่ท้ายแถว

ผมเป็นห่วงว่า อาจจะไม่มีอาหารหลงเหลือพอ เมื่อถึงคิวของเขา ผมจึงเดินไปเพื่อคุยกับเขา เขาเล่าให้ผมฟังว่า แผ่นดินไหวและสึนามิเกิดขึ้น ขณะที่เขาอยู่ที่โรงเรียนในชั่วโมงพละศึกษา พ่อของเขา ซึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน มาหาเขาที่โรงเรียน เขามองเห็นคุณพ่อและรถของพ่อถูกน้ำพัดหายไปจากระเบียงชั้น 3 ของโรงเรียน

คุณพ่อของเขาคงเสียชีวิตไปแล้ว…

เมื่อผมถามเขาถึงคุณแม่ เขาบอกผมว่าครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ริมทะเล ดังนั้นคุณแม่และน้องชายของเขา คงไม่สามารถหลบหนีได้ทัน แล้วเขาก็หันหน้าไปอีกทางหนึ่ง เพื่อเช็ดน้ำตาเมื่อถูกถามถึงญาติๆ ของเขา ผมเห็นว่าเขาคงหนาวอยู่ จึงถอดเสื้อโค้ทตำรวจคลุมร่างเขาไว้

ขณะเดียวกับที่อาหารมื้อเย็นที่ซุกอยู่ในกระเป๋าหล่นออกมา

ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วส่งให้เขา พร้อมบอกเขาไปว่า “น้าเป็นห่วง ว่าอาจจะไม่มีอาหารเหลือถึงคิวของเธอ นี่เป็นส่วนของน้า น้ากินไปแล้วหน่อยนึง เธอกินส่วนที่เหลือให้หมดเถอะ”

เด็กน้อยยื่นมือมารับอาหาร แล้วค้อมตัวลงกล่าวคำขอบคุณ ผมคิดว่าเขาคงรีบกินด้วยความหิวในทันที

แต่…เปล่าเลย เขาถืออาหารชิ้นนั้น เดินตรงไปยังหัวแถวที่มีคนคอยแจกอาหารอยู่ แล้ววางอาหารที่ผมให้กับเขาลงในกล่องของอาหารที่กำลังได้รับการแจกจ่าย จากนั้นก็เดินกลับมาเข้าแถวดังเดิม

ผมประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงถามเขาว่าทำไมเขาไม่กินอาหารที่ผมให้ เขาตอบผมว่า “เพราะมีคนอีกมาก ที่อาจจะหิวยิ่งกว่าผม ผม…วางไว้ที่นั่นเพื่อที่อาหารจะได้รับการแจกจ่ายอย่างเป็นธรรมให้กับทุกคน”

เมื่อผมได้ฟังคำตอบ ผมต้องหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อแอบร้องไห้ไม่ให้คนอื่นเห็น

ผมรู้สึกตื้นตันใจ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กชายอายุ 9 ขวบ ซึ่งเรียนอยู่เพียงชั้นประถมปีที่ 3 จะสามารถสอนบทเรียนล้ำค่าแก่ผมได้ในเวลาคับขันเช่นนี้ มันเป็นบทเรียนแสนสะเทือนใจของความเสียสละ ประเทศใดที่มีเด็กๆ อายุเพียง 9 ขวบ ซึ่งเรียนรู้ที่จะอดทนกับความยากลำบากและเสียสละเพื่อผู้อื่นได้ ต้องเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ประเทศหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ประเทศนี้กำลังอยู่ในสภาวะที่คับขันที่สุด แต่ประเทศนี้ต้องสามารถฟื้นคืนกลับมาแข็งแกร่งดังเดิมได้แน่นอน ทั้งนี้ด้วยเพราะประชาชนผู้รู้ที่จะเสียสละตัวเองให้กับผู้อื่น ดังเช่นเด็กชายน้อยๆ ผู้นี้”

ที่มา: เฟซบุ๊คภายใต้ชื่อ “พระไพศาล วิสาโล”


เขียนเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2554


อยู่กับน้ำ ต้องเป็นน้ำ

น้ำทำทุกคนอ่วมเลยช่วงนี้ เห็นภาพทั้งคนรวยคนจนโดนกันถ้วนหน้าไม่มียกเว้น หมู่บ้านรวย หมู่บ้านจน โดนน้ำกลืนหายไปเหมือนกัน น้ำสอนบทเรียนเรา เราก็จะเอาบทเรียนจากน้ำมาใช้

น้ำใส่แจกันก็อยู่เป็นรูปแจกัน น้ำใส่ขวดก็เป็นขวด ใส่แก้วก็เป็นแก้ว น้ำอยู่ในภาชนะไหนก็เป็นอย่างนั้น

วันนี้เคยมีอะไรแล้วมันเสียไป สูญเสียไปก็อยู่ได้ในสภาพใหม่ อยู่ให้ได้อย่างไม่ทุกข์ มีใจเป็นอุเบกขากับความเข้าใจในการเห็นภาพความเป็นจริง สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นแล้วดับไป เปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา สภาพภายนอกจะไม่มีปัญหาใดๆ สำหรับเราถ้าภาพภายในเราเป็นปรกติ โวยวายไปก็เท่านั้น ร้อนใจไปก็เท่านั้น อยู่แบบถ้าทำอะไรได้เราก็ทำเต็มที่ เมื่อทำอะไรไม่ได้ เข้าเซฟเฮ้าส์รักษาใจตัวเองไว้บ้าง รู้ลมไว้…สู้ๆ


เขียนเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2554 ช่วงมหาอุทกภัยกรุงเทพฯ


มีก๊าซไข่เน่า เพราะพื้นบ่อมันเน่า

พื้นบ่อที่หมักหมมมายาวนานจนเกิดเป็นฟองก๊าซผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ ยิ่งหน้าร้อนก็จะยิ่งเกิดก๊าซปุดขึ้นมามากและถี่ขึ้น ทำไมหน้าร้อนจึงเกิดมาก ก็เพราะเหตุปัจจัยมันไปทำให้เกิดปฏิกิริยามากขึ้น เมื่อมีใครไปเขี่ยพื้นบ่อให้ขี้เลนมันแตก ก็ยิ่งทำให้น้ำในบ่อน้ำนั้นเหม็นคละคลุ้งไปหมด

ทุกวันนี้พื้นบ่อที่ยังคงเน่าเสียอยู่ ก็เพราะในอดีตเกิดการทิ้งของเสียลงไปอย่างมากมาย จึงทำให้พื้นบ่อเน่า ส่งผลต่อมาเป็นน้ำเริ่มสกปรก จนน้ำเริ่มเน่าตามไปด้วย ส่งสภาพเป็นน้ำครำ จากนั้นฟองก๊าซก็เริ่มปุดขึ้นปุดขึ้น เหมือนน้ำในแหล่งน้ำโสโครก กระบวนการเหล่านี้มาจากเหตุปัจจัยกระทบกันต่อเนื่องมา ไม่มีใครชอบหรือปรารถนาให้เกิดฟองก๊าซอันเน่าเหม็นส่งกลิ่นคละคลุ้ง ผู้คนจึงเริ่มเข้าไปพยายามที่จะจัดการกับฟองก๊าซที่ส่งกลิ่นเหม็น

เมื่อฟองก๊าซปะทุขึ้นลอยปุดออกมา จึงพยายามที่จะเปลี่ยนฟองก๊าซนั้นให้เป็นฟองก๊าซที่หอมละมุนแทน เพื่อจะได้ไม่เหม็น พวกเขาพยายามกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นเวลายาวนานตลอดสังสารวัฏที่เดินทางมา แต่ไม่มีใครทำสำเร็จ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะไม่มีใครคิดว่า หากจะจัดการกับก๊าซไข่เน่า น้ำโสโครก ต้องใช้กระบวนการ 3 อย่างพร้อมกัน จึงจะสำเร็จอย่างรวดเร็วคือ ดูดน้ำออก ลอกพื้นคลองและศึกษากระบวนการ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้อีก ถ้ามีคนทำอย่างนี้ ฟองก๊าซจะหมดไป แรกๆ ว่า มันเหม็น เมื่อเหม็นก็แก้ให้หอม เมื่อหอม การแก้ที่ดีที่สุดคือไม่มีกลิ่น ไม่มีฟอง เพราะพื้นบ่อสะอาดแล้ว หอมก็ไม่เอา อย่าว่าเหม็นเลย

พวกเราทุกคนเดินทางผ่านสังสารวัฏอันยาวไกล สั่งสมความเห็นผิดกันมาตลอดเกิดเป็นนิสัยสันดานที่เห็นผิด หมักดองสิ่งเหล่านี้ ไว้รอบแล้วรอบเล่า จนเกิดความเห็นผิดมากขึ้นๆ ทุกที เมื่อเห็นผิด ก็คิดผิด เมื่อคิดผิดก็พูดผิด เมื่อพูดผิดก็กระทำสิ่งต่างๆ ผิดไปหมด เมื่อกระทำสิ่งต่างๆ ผิดสการดำเนินชีวิตก็ผิด พาไปสู่ความทุกข์ทั้งหมด (อย่าเถียงว่างานที่ทำถูกกฎหมายนะ ต่อให้ใส่บาตร ก็ยังนินทาว่าร้าย ติฉินได้ตลอดเวลา แล้วประสาอะไรกับแค่งานภายนอก หรือจะบอกว่าเขาทำฉันก่อน ถ้าเห็นถูก ว่าการกระทำของคนอื่นที่กระทำต่อเรา เป็นการนั่งกินขี้ เพราะมีแต่อกุศลล้วนๆ คนเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) จะเข้าไปร่วมกินขี้ไหมล่ะ มีแต่จะเลี่ยงออกห่าง สงสารคนนั่งกินขี้ ทำอย่างไรก็ไม่เข้าไปกินด้วยหรอก)

วันนี้ทุกข์ไหม นักปฏิบัติจะบอกว่าทุกข์ แถมทุกข์ไม่ได้หยุด ปฏิบัติไปก็เริ่มสุข สุขไปสุขมา สุขกลายเป็นทุกข์อีก ไล่ล่าหาสุขกันทั้งนักปฏิบัติและผู้คนที่มิได้สดับ

ผู้คนที่มิได้สดับ เมื่อแฟนหรือเพื่อนทำอะไรให้ไม่พอใจก็เป็นทุกข์ เอาไปเม้าท์ให้เพื่อนฟัง พอมีคนเห็นใจ ช่วยด่าคนนั้นร่วมกันก็สบายใจ ใจเป็นสุขขึ้นมา (สุขมาจากไหน แค่ทุกข์ที่บีบคั้นมันลดลง เพราะเหตุปัจจัยของมันลดลง ผลก็ลดลงเท่านั้น ทุกข์ไม่ได้ดับไปเลย)

ผู้คนที่มิได้สดับ เมื่ออยากได้สิ่งของสักอย่างก็จะเกิดตัณหาบีบคั้น อยากได้สิ่งนั้น นอนไม่หลับ หลงคิดถึงสิ่งนั้น วนเวียนเวียนวนอยู่ในใจไม่เลิกรา จนทนไม่ไหว ต้องไปซื้อหามา เมื่อได้มาก็มีความสุข มันสุขจริงหรือ? กี่วัน? (สุขมาจากไหน มาจากความบีบคั้น มันลดลงหรือหมดไปชั่วคราว เพราะได้สิ่งของสมปรารถนา ได้เป็นสมปรารถนา สุขเพราะการให้ค่าปรุงแต่งสิ่งนั้นไว้ ได้มาก็พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ซึ่งรูปนั้นๆ) เมื่อเวลาผ่านไปความหลงไหลได้ปลื้มก็หมดไป เกิดความปรารถนาทะยานอยากในสิ่งอื่นต่อไป…ต่อไป…จนถึงวันนี้ และจะมีต่อๆ ไปในกาลอันยืดยาวฝ่ายอนาคต…)

ชีวิตของผู้คนในโลกจึงเวียนวนในวังวนที่มีความเห็นผิดเป็นมูล สร้างเหตุปัจจัยในทุกข์ไม่สิ้นสุด แล้วหลงมาถามว่า “เราเกิดมาทำไม?” เราไม่ได้เกิดมาทำไมหรอก เราต้องถามว่า “ทำไมเราเกิดมา?” อย่างนี้ตอบได้ง่ายเลย เพราะมันมีเหตุให้เกิด อะไรเป็นเหตุเกิด ตอบตามพระพุทธองค์เลยคือ ตัณหา เป็นเหตุเกิด ตัณหาสร้างภพ ภพสร้างชาติ ชาติสร้างทุกข์ ทุกข์วนเป็นอวิชชา เพิ่มความเห็นผิดเพิ่มขึ้นอีก สร้างความเห็นผิดต่อไป แต่มากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็มากขึ้นกว่าเดิมไปอีกเรื่อยๆ ที่หมุนวนรอบแล้วรอบเล่า สร้างสังขารทั้งหลายขึ้นมาคือขันธ์ 5 เมื่อมีขันธ์ ก็เริ่มต่อเชื่อมกับโลกภายนอก ด้วยการสร้างรูปนี้ให้เชื่อมกับภายนอก โดยสร้างตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบมาถึงใจ ด้วยผัสสะ 6 ใจจึงเกิดเป็นความรู้สึกสุข (พอใจ) ทุกข์ (ไม่พอใจ) เฉยๆ (เพราะไม่ใช่พอใจและก็ไม่ใช่ไม่พอใจ) เหมือนม้ากระดกที่เด็กเล่นนั้นล่ะ เด็กนั่งคนละฝั่ง เมื่อข้างหนึ่งลงข้างหนึ่งก็ขึ้น มาดูที่แกนของม้ากระดกเป็นท่อนเดียว แกนด้านซ้ายเรียกทุกขเวทนา แกนด้านขวาก็เรียกสุขเวทนา ตรงกลางเรียก อทุกขมสุขเวทนา คือมันไม่ซ้ายแล้วก็ไม่ขวา แต่ทั้งหมดก็แกนเดียวกันนั่นแหละ ไม่ได้ดีกว่ากันเลย

แล้วเวทนานี้มาจากไหนล่ะ? ด้วยความไม่รู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จากความสุขความพอใจ ก็จึงทะยานอยาก อยากได้มาเป็นเจ้าของตอบสนองสุข หากไม่พอใจ ไม่ชอบ ก็ดิ้นรนที่จะผลักไสออกไป ไม่อยากพบเจอ เป็นทุกข์เร่าร้อน เมื่อเฉยๆ ก็ไม่มีสติปัญญาที่จะรู้ว่าเป็นการเฉย เพราะมันไม่ได้พอใจและก็ไม่ได้ไม่พอใจ จึงโง่เฉยๆ รอเวลาที่ใครมาเหยียบต่อม หรือสิ่งกระทบ มากระแทกต่อม แล้วก็เคลื่อนไหวทันที เป็นสุขเป็นทุกข์ต่อไป หมาดุนอนเฉยๆ ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดุนะ หมานิสัยดีพอโดนแย่งของก็กระโดดขึ้นมาสกลายเป็นหมาดุได้ทันที สรุปแล้วหมานั้นโง่ทั้งเพ เพราะถ้าไม่โง่ ก็ไม่มาเป็นหมา เดี๋ยวหมาโกรธ เอาเป็นว่า ถ้าไม่โง่หลงมัวเมาไม่เป็นเดรัจฉานแล้วกัน เพราะเดรัจฉานไปด้วยโมหะ (หนักกว่าเดิม)

แล้วจะแก้อย่างไร เราต้องไม่แก้ด้วยการปรับก๊าซเหม็นให้เป็นก๊าซหอมเพียงอย่างเดียว เพราะนั่นเป็นปลายเหตุรู้ไหม เช่น สุข ทุกข์ เฉยๆ โกรธ หงุดหงิด ชอบ อร่อย ฯลฯ อาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพียงฟองก๊าซที่เกิดจากการหมักหมมของพื้นบ่อเท่านั้นเอง เปรียบคืออาสวะเครื่องหมักดองจิต นั่นเป็นการศึกษาฟองก๊าซ ให้เห็นว่าฟองก๊าซเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะมีเหตุให้เกิดมา ไม่มีตัวตนที่จะเกิดขึ้นได้เอง ตัวมันเองไม่ได้อยากเหม็นหรืออยากหอม มันเป็นของมันอย่างนั้น ก็พื้นมันหมักหมมมาเป็นอย่างนั้น การจะแก้ต้องลอกพื้น ถ่ายน้ำไปพร้อมๆ กัน (ปรับน้ำ ใส่จุลินทรีย์ลงไป) ฟองก๊าซจะเริ่มดีขึ้นไม่เหม็นและสะอาดใสแจ๋วในที่สุด เพราะทำกระบวนการทุกอย่างครบถ้วนอย่างไม่ละทิ้งสิ่งใด

อุปมานี้ฉันใดอุปไมยก็ฉันนั้น จิตใจที่หมักหมมมาอย่างยาวนาน จะจัดการให้พ้นทุกข์เข้าสู่ทางสายกลางได้ ก็ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ มรรคมีองค์ 8 นั่นเอง

ดังนั้น การเดินทางต้องทำทั้ง 3 ส่วน สำหรับผู้ที่ยังศีลบกพร่องต้องใช้เจตนาเป็นเครื่องเว้น จนไม่ต้องเจตนาจะเว้นอีก คือทำอย่างไรก็ไม่ทำผิดอีก เพราะหากพลาด ทำผิดจะเป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์ ใจจะไม่สบาย จึงเกิดการสำรวมระวัง ที่จะไม่ให้ทุกข์ นี่คือปัญญาก็เกิดขึ้น มาช่วยชำระศีล บาทฐานของศีลก็ทำให้จิตใจตั้งมั่น เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ขึ้นมาเป็นเครื่องสนับสนุน เกิดเป็นสมาธิ เมื่อมีสมาธิเพราะมีศีล สมาธิก็ช่วยชำระศีล ศีลก็ช่วยให้จิตตั้งมั่นไม่ทุกข์กับสิ่งกระทบหยาบๆ

ดังนั้น เมื่อเห็นว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ จึงเกิดความคิดในทางถูกที่จะไม่ทำให้เกิดเป็นทุกข์ในแบบต่างๆ การจะไม่ให้ทุกข์เกิดขึ้นมาได้ ก็เห็นแล้วว่า ความยึดติดเสพติดในกามคุณทั้งหลายทางตา หู จมูก ลิ้น กายนั้น ล้วนเป็นทางมาแห่งทุกข์ ก็เริ่มวิรัติเนกขัมมะออก จนเห็นความจริงว่า การอยู่โดยอิสระจากการเสพติดในกามคุณเป็นความสุขอย่างแท้จริง (สมมุติติดยาอยู่แล้วเห็นว่าโทษภัยของยามีมากกว่าความสุขเล็กน้อย จึงอดทนฝืนสู้เพื่อจะเลิก เมื่อนั้นจะเกิดอาการอยากยา ต้องอดทนมากๆ ไม่ย่อท้อ ไม่ถอยกลับ วันหนึ่งจะเลิกได้ เมื่อนั้นจะพบว่า ความเป็นอิสระนั้น สุขสงบเย็น เลิกได้แล้วจะงงนะ ว่าเราเข้าไปเริ่มใช้ยาเสพติดแต่แรกทำไม สุดท้ายต้องมานั่งเลิกอีก แล้วในชีวิตจริงเราหานั่นหานี่มาให้มันติดทำไมล่ะ?)

ไม่พยาบาทใครๆ ไม่เบียดเบียนใครๆ เมื่อนั้นผลจะเป็นอย่างไรล่ะ? คำพูดก็จะถูก คือไม่โกหก ไม่เสียดสี ไม่เพ้อเจ้อ ไม่หยาบคาย จากนั้นการกระทำจะถูกต้อง ไม่ทำผิดศีล การดำเนินชีวิตก็จะถูกต้อง ไม่เป็นมิจฉา หันมาเจริญสมาธิภาวนา ละอกุศล เจริญกุศล ตัณหาจะเริ่มดับไป ห่างไปเป็นขณะๆ เมื่อตั้งมั่นมากขึ้น จะเห็นว่าสิ่งทั้งปวงเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ ตั้งแต่ฟองก๊าซจนถึงน้ำถึงดิน เมื่อขุดลอกพื้นบ่อด้วย ทำน้ำให้ใสด้วย ฟองต่างๆ ก็จะเป็นฟองที่ดี จนในที่สุด สะอาดหมดจด ไม่มีอะไรให้ยึดถือ มีแต่ปล่อยวางลง จนพบกับนิโรธในที่สุด นั่นคือการดำเนินเดินทางด้วยศีล สมาธิ ปัญญา หรือมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง

เอาแต่ศีล พ้นทุกข์หยาบ — ไม่บรรลุ
เจริญสมาธิ จิตสงบ — ไม่บรรลุ
เจริญสติ แต่ไม่เข้าใจการเจริญสติ เอาแต่รู้ตัว (เอาแต่รู้ตัวกูจริงๆ คือแขนกู ขากู กูเดิน กูหยิบ ก็เลยได้แต่สมาธิ ไม่เกิดเป็นปัญญา) การเจริญสติเพื่อให้เห็นว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีอะไรน่ายึดถือ เพราะความจริงที่เราเข้าไปสังเกตเป็นผล เป็นอาการของจิต เป็นพฤติกรรมเท่านั้น นั่นคือน้ำเน่าและฟองก๊าซ เราจะได้ไปเข้าใจต้นตอ เมื่อนั้นจะถอดถอนความทุกข์แบบขุดรากถอนโคน จัดการที่ต้นเหตุ เมื่อหมดเหตุก็ดับ

เอาแต่ดูจิต แต่กลายเป็นดูอาการของจิต คือไล่ล่าเล่นกับฟองก๊าซ ไล่ไม่ยอมจบนะ หากพื้นบ่อยังเน่าน้ำก็เน่า อยากจัดการได้ถึงต้นตอ ก็ต้องเดินตามมรรค นี่ล่ะอานุภาพแห่งมรรค ต้องพร้อมสรรพ เมื่อนั้นไม่ต้องถาม ว่าจะบรรลุไหม

หากวันนี้ ถ้ายังใช้ชีวิตแบบใครๆ เห็นก็เอือม จะมานั่งพูดว่าเห็นโกรธนะ เห็นโลภนะ ใจสงบได้บ้างนะทำไม ในเมื่อยังไม่รู้สึกเบื่อหน่ายในกามบ้างเลย ยังพยาบาทเบียดเบียนชาวบ้านชาวเมืองอยู่ ทางกายอาจไม่ แต่วาจากับใจนี่สิ ไม่รู้สึกรู้สาเลย ยังทำผิดศีลแบบไม่รู้สึกละอาย แถมมีเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำของตนเองตลอดเวลา อย่างนี้ปฏิบัติไม่เข้าหรอก ละอกุศลนี่ หมายถึงละทั้งกาย วาจา ใจนะ เจริญกุศล ก็เจริญทั้งกาย วาจา ใจ

เมื่อเดินตามมรรค (มรรคานุคา) จะพบอริยสัจ 4
อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้อริยสัจ 4
วิชชา หมายถึง ความรู้ในอริยสัจ 4
จะรู้อริยสัจ ต้องเดินตามมรรค


เขียนเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554


ละอกุศลแล้วจะโชคดี

ละอกุศลทางกาย คือมีศีล ก็ต้องละที่ใจ (เจตนาเป็นเครื่องเว้น)

ละอกุศลทางวาจา คือมีศีล ก็ต้องละที่ใจ (เจตนาเป็นเครื่องเว้น)

มีศีลไว้ก็เริ่มหัดเว้นที่ใจ แล้ววันหนึ่งใจก็ตั้งมั่นขึ้น เพราะมีศีล ฝึกตาในไว้ ก็จะเริ่มเห็นการเคลื่อนไหวภายใน

ละอกุศลในใจ ใช้เจริญภาวนาสเจริญกุศลแทรกเข้าไปแทนที่อกุศล จิตก็จะปล่อยอกุศล ทำบ่อยๆ จิตจะเกิดนิสัยใหม่ ไม่รับอกุศลเข้ามา ทุกอย่างมารวมกันอยู่ที่ใจ ใจไม่ดีก็ทำบาปทำชั่วทำผิดศีล ใจไม่ดีก็ด่าว่าโกหกได้สารพัด ฝึกละให้ได้ ไม่ว่ากาย วาจา ใจ ใจก็จะเป็นสุข เพราะทุกอย่างมารวมกันที่ตรงใจ ทำได้แค่นี้ก็สุขมากแล้ว ถ้าได้ตรงนี้ เขาไปต่อเองได้แล้ว

นี่ล่ะเรื่องใหญ่ อย่าทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก แล้วถนัดที่จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ประเภทเม้าท์แตกแล้วมันส์ หัวเราะร่า ไล่ล่าหาที่อร่อยๆ กิน เผลอเพลินไปกับการละเล่น การดู การฟัง ถ้าอบายมุขไม่ต้องพูดกันเลย ไม่อย่างนั้นเมื่อวันที่ทุกอย่างดับลง ไม่ว่าจะไฟ (ฟ้า) จากภัยพิบัติภายนอกหรือไฟ (ธาตุ) ภายใน เราจะกลับตัวไม่ทันแน่ จะเสียวสะดุ้งวูบใหญ่สตกใจเมื่อเห็นไฟ (โลกันต์) พวยพุ่งขึ้นแทน

หากจะไม่ปฏิบัติอะไรเลย ก็ขอให้หยุดอกุศลทั้ง 3 กาลเถอะ จะได้ชื่อว่าเกิดมาแล้วยังพอมีกำไรติดไม้ติดมือไปบ้าง นี่ขนาดชาตินี้ดีที่สุดในยุคนี้แล้วนะ ยังได้ไปแค่นี้ ตายจากชาตินี้ไปไม่รู้เมื่อไหร่จะมีโอกาสอย่างนี้อีก โชคดีไม่ได้แปลว่าได้เกิดมาร่วมชาติกับผู้ถึงธรรม ไม่ได้แปลว่าได้ไปทำบุญกับผู้ถึงธรรมนะ แต่โชคดีคือได้มีโอกาสทำให้ตนได้ไปถึงธรรมต่างหากล่ะ…อย่าเข้าใจผิด


เขียนเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2554


รู้ลม…ทางเดินสู่พระนิพพาน

ทะเลาะกับใคร ใจก็หวนคิดเรื่องนั้นไม่เลิก คิดถึงอะไรที่ทำให้เจ็บช้ำ เมื่อนั้นเป็นทุกข์…เรื่องอย่างนี้รู้กันดีไม่ต้องบอก แล้วรู้ลมทำไม?

เมื่อใจคิดถึงอะไร สังเกตไหม ว่ามันจะเกิดเป็นอารมณ์ สุข ทุกข์ เฉยๆ สุขและเฉยๆ คงไม่เท่าไหร่ เอาแค่ทุกข์ก่อนแล้วกัน ไม่ได้ดูถูกนะ แต่เพราะดูถูกนั่นแหละ เลยเอาแค่ตัวเดียว พอรู้ตัวหนึ่ง ก็รู้ทั้งหมดนั่นแหละ เมื่อเกิดปัญญา

เพราะฉะนั้น คิด ทำให้ทุกข์…ถูกไหม ตรรกะง่ายๆ ไม่คิดไม่ทุกข์…ถูกไหม แต่ทำได้ไหม ไม่คิดน่ะ แล้วจริงๆ มันก็ต้องคิดด้วย ไม่คิด ก็ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว ต่อให้พระไม่ต้องหากิน ก็ต้องคิด แต่เพราะมันหยุดคิดไม่ได้ มันทำไม่ได้…ถูกไหม

จิตรับรู้ทีละอารมณ์เดียว สรรพสิ่งเกิดขึ้นมากมายในแต่ละขณะ ลองไปที่โรงอาหารดู จะได้ยินเสียงต่างๆ อื้ออึงไปหมด…ถูกไหม เสียงช้อนส้อมกระทบจาน เสียงคนคุยกัน เสียงคนนินทา ฯลฯ ถ้าฟังเสียงคนนินทาเรา…โกรธนะ ฟังเขานินทาคนที่เราเกลียด…ชอบนะ ถ้าฟังรวมๆ จะอื้ออึง…รำคาญนะ แต่ถ้าเราคุยกับเพื่อนที่ไปด้วยกัน ก็จะมีอารมณ์อยู่กับเรื่องที่คุยกัน แต่พอคุยไม่ค่อยได้ยินเพราะในโรงอาหารเสียงดัง…โกรธนะ ดูเหมือนเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกๆ วันไม่ใช่หรือ?…ใช่ ธรรมทั้งหลายก็เกิดเป็นธรรมดา ทั้งธรรมที่เป็นความจริงตามมุมมองที่มีอวิชชาและธรรมชาติเดิมแท้ที่เป็นเพราะวิชชา มันเหมือนกัน ปนกัน อยู่ที่ญาณทัศนะที่จะเห็น สิ่งเดียวกัน แต่มองเป็นมีก็มี ไม่มีก็ไม่มี แต่ก็ไม่มีในมีนั่นแหละ และก็มีในไม่มี หรือที่พระพุทธองค์ตรัสว่า โสดาบันสามารถดูของที่เป็นปฏิกูลไม่เป็นปฏิกูล หรือจะมองสิ่งไม่เป็นปฏิกูลให้ปฏิกูลก็ได้ (เช่น คนสวยที่ใครๆ ก็หลงใหลชอบพอ แต่ท่านมองให้เป็นธาตุเป็นถุงใส่ของเน่าเหม็นมารวมกันไว้ มีรูให้ปฏิกูลไหลเข้าออกตลอดเวลาก็ได้…จนเกิดวิราคะ คือเบื่อหน่าย หมดความยึดถือไปเอง ญาณทัศนะ ไม่ใช่ความคิดแต่เป็นมุมมอง)

เมื่อจิตไปยึดในสิ่งต่างๆ จากสภาพคิดจึงเกิดเป็นความคิด ความคิดจะเกิดเป็นตัวตน เราให้จิตไปจับลม จิตต้องปล่อยคิดมาจับลม (เอาแค่นี้ ปล่อยคิดนะ มาจับลมแทน) แล้วด้วยความที่จิตเคยคุ้นกับการเสพความคิด ก็จะกลับไปยึดถือสภาพคิด จนก่อเกิดเป็นความคิดที่กูคิด เกิดเป็นอารมณ์ทันที ดังนั้นการรู้ลมในเบื้องต้น คือการละคิด เพราะคิดเกิดเป็นทุกข์ ความทุกข์จึงลดลง เพราะความคิดถูกจัดการไปทีละเล็กละน้อย ไม่เข้าวังวนแห่งคิด ถูกสกัดให้ความคิดขาดเป็นท่อนๆ กำลังของมันจึงอ่อนลง นี่เป็นการแก้แบบสมถกรรมฐาน นี่จึงเป็นการละอกุศลมาเจริญกุศล ในมรรคองค์ที่ 6 สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ เมื่อรู้ลมอยู่ จิตจะตั้งมั่นเกิดเป็นสัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ ขณะที่สติระลึกว่าคิดเกิดแล้วท่านจึงมารู้ลม วินาทีก่อนที่ท่านจะรู้ลม ท่านรู้แล้วใช่ไหมว่าคิดเกิด คือเผลอที่จะรู้ลม นี่เป็นสัมมาสติ สัมมาสติจะเพิ่มดีกรีขึ้นในหัวข้อต่อไป

เมื่อการรู้ลมมากขึ้น จนเกิดเป็นการตั้งมั่นของจิต วินาทีที่สติระลึกว่าเผลอคิดแล้วมารู้ลมนั้น ความคิดได้ดับวับลงไป เกิดเป็นสภาพรู้ที่ลมขึ้นแทน ตรงนี้เป็นการเห็นการดับลงของอารมณ์ ความคิดดับ (จิตกำลังยึดถือสังขารการปรุงแต่งอยู่ แต่เมื่อสติระลึก จิตปล่อยสังขารมาจับที่รูปแทน คือวิญญาณมาเกิดที่รูป ตรงนี้ส่งผลเป็นอุเบกขา จิตจะตั้งมั่นขึ้น) แล้วจิตมาเกาะที่รูปแทน โดยอาศัยอานาปานสติหรือกายคตาสติ ซึ่งพระพุทธเจ้าให้จิตตั้งไว้ที่กาย เพื่อเดินทางต่อไปให้ถึงสุญญตา

บางทียังไม่ทันคิดเลย ทุกข์แล้ว…ใช่ สังขารการปรุงแต่งไม่ได้ออกมาในสภาพคิดอย่างเดียว บางทีเป็นภาพในสิ่งนั้นเช่นกัน แล้วปรุงเป็นภาพความคิด ตัวอย่างง่ายๆ อย่างเวลาอ่านอะไร ภาพจะถูกสร้างตามมาเรื่อยๆ ภาพถูกเปลี่ยนแปลงไปตามเนื้อเรื่องที่อ่าน แล้วเกิดเป็นอารมณ์ เวลาอ่านข่าวสยดสยอง ทำไมถึงสยดสยอง เพราะมันปรุงตาม แล้วยึดมันนะซิ เมื่อภาวนาถึงจุดหนึ่ง จะเห็นความจริงไม่ปรุง ไม่สยดสยองขนลุก แต่เข้าใจว่าโหดเหี้ยม

เมื่อเห็นสภาพเกิดดับมากๆ เข้า จะเกิดความเบื่อหน่ายคลายความยึดถือขึ้น เพราะการที่ไปเห็นสภาพเกิดดับของอารมณ์ก็ดี เห็นการเกิดดับของนามธรรม ความคิดปรุงแต่ง เห็นการเกิดดับของสุขทุกข์เฉยๆ ทุกอย่างจึงหมดค่าลง (ตรงนี้เป็นสัมมาสติพิจารณาเห็น กาย เวทนา จิต ธรรม ไม่มีตัวตน เป็นอนัตตา) ในที่สุดจิตจะหมดการให้ค่า เพราะทุกอย่างมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั่นเอง ไม่มีเราตรงไหน อารมณ์ต่างๆ ล้วนมาจากความโง่เอง ที่ไม่ยอมรับความจริงว่าเมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น ทุกอย่างว่างจากตัวตน ตรงนี้ รู้แจ้งเป็นวิปัสสนา

เมื่อปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้น สภาพคิดจึงมีไปตามธรรมชาติ แต่ไม่มีใครไปให้ค่ามันอีก จึงไม่เกิดเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นเฉยๆ จึงกลับเป็นสภาพคิด ที่ไม่มีผู้คิด เกิดขึ้นมาตามปัจจัยที่สั่งสมมา ไม่มีผู้ยึดถือ จึงไม่เกิดเป็นเราเป็นของเรา ก็เลยไม่มีผู้ทุกข์ จะรู้ลมหรือไม่รู้ลมก็ไม่ทุกข์ แต่ยังคงรู้ลมต่อไป เพราะกายจะได้ไม่ลำบาก ตาจะได้ไม่ลำบาก เพราะกายกับใจไม่ใช่เรา ทำงานตามปัจจัย จิตสงบ กายสงบ กายสงบ จิตสงบ ผูกกันอยู่อย่างนี้ เพื่อความทรงอยู่ของชีวิต เพราะรูปขันธ์ยังคงดำรงอยู่ตามวาระของมัน ช่วยดูแลกันตามควร แต่หากจะเป็นอะไรๆ มันก็เช่นนั้นเอง…พอกันที หมดสนุกแล้วกับโลกนี้

น้ำจะท่วม ฟ้าจะใส ก็ทำหน้าที่กันไป ไม่ว่าอย่างไร วันนั้นมาถึงแน่ ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ตายก่อนตาย ไม่เกิดอีก ไม่ตายอีก ไม่คิดเอาว่าจะไม่เกิด แต่เมื่อหมดเหตุเกิด แล้วจะเกิดได้อย่างไร ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ต้องทำ ได้ทำจบแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก ภาวนาไป พวกเราเป็นผู้เดินตามมรรค

มรรคมีองค์ 8 ย่อลงมาเหลือ 3 ก็คือ ปัญญา ศีล สมาธิ ย่อลงมาเหลือ 2 คือสมถะและวิปัสสนา แต่ต้องวงเล็บไว้ว่าศีลต้องบริบูรณ์มาก่อนแล้วนะ


เขียนเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2554


เล่นบาร์บี้ด้วยจิตว่าง

เดินชอปปิ้งด้วยจิตว่าง กินอร่อยด้วยจิตว่าง ด่าว่าคนด้วยจิตว่าง งอนแฟนด้วยจิตว่าง เล่นเฟซบุ๊คด้วยจิตว่าง!

เด็กน้อยที่ชอบเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ นั่งเล่นได้ทั้งวัน จับบาร์บี้แต่งชุดนั้นเปลี่ยนชุดนี้อย่างมีความสุข ถ้าคุณแม่มาบอกหนูน้อยคนนั้นว่า เมื่อหนูโตขึ้น หนูจะไม่เล่นบาร์บี้นี้หรอก แม่รับรอง หนูน้อยจะไม่มีวันเชื่อคำพูดของแม่เด็ดขาด หรือหนูน้อยอาจจะมีความรู้สึกไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ ด้วยความกลัวว่า วันหนึ่งความสุขที่สุดของการเล่นบาร์บี้จะหายไป

25 ปีผ่านไป…เด็กน้อยคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีบาร์บี้อยู่ วันนี้จัดห้องเก็บของ เจอลังตุ๊กตาบาร์บี้ หยิบขึ้นมาดูสักพัก แล้วก็เก็บลงลัง อาจจะคิดเอาไปบริจาค หรือหากยังหวงอยู่ ก็เก็บมันต่อไปให้ปลวกแมลงสาบหนูกินจนพรุนก่อน ถึงจะทำใจให้คนอื่นได้ (ตอนดีๆ ให้ไม่ลง ชาตินี้จึงได้แต่ของไม่ดี)

วันนี้ให้เล่นอีกก็คงไม่เล่น ทำไมไม่เล่น คำตอบคือ “เสียเวลา” แต่ไปเดินชอปปิ้งเป็นวันๆ ดูหนังเป็นสิบๆ เรื่อง ไม่เสียเวลา เพราะอะไร?

เมื่อไรก็ตามมี ราคะ นันทิ ตัณหาในสิ่งใดๆ วิญญาณจะมีที่ตั้งอาศัย ทำไมผู้ใหญ่ไม่เล่นตุ๊กตา เพราะไม่มีราคะในตุ๊กตา คือความไม่มียินดีพอใจในตุ๊กตาแล้ว เมื่อไม่มีความยินดีพอใจในตุ๊กตาก็ไม่มีนันทิคือความเพลินในอารมณ์ แน่นอนตัณหาในตุ๊กตาจึงไม่เกิด แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่จะเก่งหรือดีแล้ว เข้าถึงธรรมแล้ว เพราะเขาก็ไปเสพติดสิ่งอื่นแทน แล้วชอบไปฟังธรรม หรือไปเข้าคอร์ส ถือว่าเสพติดไหม?…นี่เป็นคำถามที่ดี

นี่คือเหตุผลว่า ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงให้ผู้คนทั้งหลายยึดกุศลสละอกุศลไว้ เพราะท่านทราบดีว่า จิตยังมีธรรมชาติยึดติดอยู่ จนถึงวันที่ชำระได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ท่านจึงต้องบอกสอนไว้ว่า อะไรคือกุศล เช่น การคบมิตรดี การฟังธรรม การเจริญสติ การเจริญสมาธิ พูดง่ายๆ ถ้าจะติดอะไรสักอย่าง ก็ให้เลือกติดกุศลไว้ก่อน ในสัมมาวายามะจะชัดเจนสำหรับผู้กำลังเดินทาง คือสละอกุศล เจริญกุศลไว้ เพราะการยึดกุศลไว้ในเบื้องต้น จะไม่สร้างความทุกข์เดือดร้อน เมื่อเจริญสติต่อไปจะเห็นเองว่ากุศลก็เกิดดับไม่มีตัวตน จากนั้นปล่อยอีกครั้ง มีที่พึ่งอันเกษมมีที่พึ่งอันสูงสุดสนั่นคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่มีการเกิดดับอีก

แล้ววันหนึ่ง เมื่อละราคะ นันทิ ตัณหาได้ จะยังคงไปเดินชอปปิ้งไหม? ถ้าไปก็คงไปซื้อของ ไม่ได้ไปหาความสุขความเพลินแบบเล่นบาร์บี้อีก

ถ้าจะกิน ก็คงแค่พอเลี้ยงธาตุขันธ์ให้ยังอัตภาพไปได้ จะได้มีชีวิตต่อไปเพื่อผู้อื่น (วันไหนตายก็จบกัน ไม่มีหวงไว้ เพราะไม่เคยอยู่เพื่อตนเอง)

ถ้าจะว่าผู้คนก็คงไม่ใช่เพราะโกรธ ที่มาทำให้เราขุ่น แต่เป็นความปรารถนาและเมตตาต่อคนอื่น ที่อยากให้เขาได้ดี ไม่มีอารมณ์

ส่วนงอนไม่มี เพราะหากจะไม่พูด ก็เพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะพูด ไม่ต้องมีอารมณ์

เฟซบุ๊ค! ไม่อยากพูด ดูกันเอาเองว่าโพสต์รูปเพราะอะไร เปิดทุกวันเพราะอะไร เวลาคนโพสต์ข้อความที่ชอบก็ปลื้ม โพสต์ไม่ถูกใจก็นรก หรือฆ่าเวลา? ฆ่าสิ่งมีค่าที่สุดของเรา ที่มีเหลืออยู่เพียงนิดเดียวนี่นะหรือ?

ว่างจริงไม่ทำนะ ที่ทำอยู่ไม่ว่างจริง ทำอยู่ก็รู้นะ แต่รู้ไม่จริง… ถ้า “รู้” จริงไม่ทำ จะไปให้ถึงรู้จริง ละอารมณ์ให้ไวๆ รู้ลมไว้เรื่อยๆ ธรรมะที่ตื้นๆ ง่ายๆ แต่ลึกซึ้งที่สุด


เขียนเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2553


จดหมายจากเด็กคนหนึ่งที่เรียกน้ำตาของครูพี่เลี้ยง

ในหลักสูตร ยุวเนกขขัมม์ เมื่อวันที่ 10-14 มีนาคม พ.ศ.2554 ซึ่งจัดที่ยุวพุทธ 01 โดย อ.ประเสริฐนั้น มีกิจกรรมเขียนจดหมายแสดงความรู้สึกจากลูกถึงพ่อแม่ โดยหลวงพี่โอ จดหมายจะไม่ถูกส่งให้พ่อแม่ เพราะไม่ต้องเขียนชื่อผู้เขียน แล้วจดหมายทั้งหมดกว่า 200 ฉบับก็ไปกองรวมกัน ครูพี่เลี้ยงได้พบจดหมายฉบับนี้ในกอง แล้วนำมามอบให้ เพราะจดหมายลงชื่อว่า…มัดหมี่


“ตั้งแต่เกิดมา ก็ต้องทำให้พ่อแม่เดือดร้อนมาตลอด เพราะต้องหาเงินมาเลี้ยงดู ส่งเสียเรื่องการเรียน ฯลฯ ตอนนี้ก็ยังทำให้พ่อแม่เสียใจอยู่ เถียงบ้าง ไม่พอใจอะไรบ้าง แสดงออกท่าทางที่ไม่ดีบ้าง

ตอนที่พ่อออกจากบ้านเพื่อมาสืบทอดพระศาสนา ตอนแรกก็เสียใจ ที่จะไม่ค่อยได้เจอหน้าพ่อแล้ว แต่พอเห็นสิ่งที่พ่อทำให้พระพุทธศาสนา ก็รู้สึกดีใจมาก เหมือนกับคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ไม่สนใจตัวเองขนาดนี้ มันหาไม่ได้ง่ายๆ ในโลก เหมือนพ่อเกิดมาเพื่อช่วยเหลือคนทั้งโลก จนถึงตอนนี้ก็ยังภูมิใจอยู่ มากขึ้นทุกๆ วัน พ่อสอนผู้คนโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เลย ถ้าเลือกได้ ก็อยากเกิดเป็นลูกพ่ออีก อยากให้พ่อช่วยหมุนกงล้อพระศาสนาต่อไป หนูไม่เคยรู้สึกอยากให้พ่อต้องอยู่กับหนู เพราะมันเหมือนพ่อเป็นบุคคลที่สำคัญมาก ถ้าพ่ออยู่กับหนู พ่อจะไม่ได้ไปช่วยเหลือคนอื่น ไม่สามารถช่วยชี้หนทางให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้

ตอนนี้กรอบรูปที่พ่อให้ในวันเกิด ตอนพ่อเป็นพระ ก็ยังอยู่ในห้องตรงหัวนอน เวลาเห็น ก็จะมีสติตลอด เหมือนที่พ่อบอกไว้ว่า ให้วางในที่เห็นบ่อยๆ จะได้เตือนสติ”


“รักพ่อ”



เขียนเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2554