เกริ่นนำ

ตอนที่ฉันยังเด็ก เวลานั่งรถไปไหนมาไหนกับพ่อ ระหว่างที่ขับรถไป พ่อจะคอยเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังไปด้วยเสมอ เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เล่าข่าว เล่าถึงความเป็นไปในโลกใบนี้ให้ฟัง เล่าเรื่องยากๆ โดยอธิบายให้มันเข้าใจง่ายๆ บางครั้งตอนจบเรื่อง พ่อก็จะถามว่าฉันคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ฉันก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไป ที่ตอบออกไปอย่างที่คิด ถูกบ้างผิดบ้าง เข้าข้างตัวเองบ้างคนอื่นบ้าง จะตอบอะไรออกไปบ้างนั้นฉันก็จำไม่ค่อยจะได้แล้ว แต่อย่างหนึ่งที่จำได้แม่นก็คือ…

“ลูกรู้ไหม ทำไมพ่อถึงเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง”

ตอนนั้นรถติดอยู่ จู่ๆ พ่อก็หันมาถามฉันแบบนี้

ว่าแต่ฉันตอบหรือใช้เวลาคิดมากไปหน่อยก็มิอาจจำได้ แต่ฉันจำคำต่อไปของพ่อได้

“เพราะพ่ออยากให้ลูกคิดเองได้ จริงๆ แค่บอกคำตอบไปเลยพ่อก็ทำได้ แต่ในอนาคตภายหน้าสักวันหนึ่งที่พ่อไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว พ่ออยากให้ลูกคิดเป็น วิเคราะห์เป็น แล้วก็เอาตัวรอดอยู่ในโลกนี้ได้”

ตอนนั้นฉันก็ได้แค่ อืม อืมม แต่ตอนนี้คำพูดนี้มันกระทบใจเข้าอย่างจัง ตอนนี้ที่ฉันเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีอิสระในการใช้ชีวิต ตัดสินใจให้ตัวเองในทุกๆ เรื่อง ฉันรู้ซึ้งแล้วว่าพ่อหมายถึงอะไร

“สัมมาทิฏฐิ เปลี่ยนการดำเนินชีวิต และทั้งชีวิตของเราได้”

ถึงตอนนั้นพ่อจะยังเป็นนักธุรกิจอยู่ก็ตาม (ตอนนี้สิ่งที่พ่อทำไม่ใช่ “ธุระ” อีกแล้ว แต่คือธรรมะ เป็นนักธรรมกิจ) แต่ฉันคิดว่า หัวใจของพ่อที่ต้องการจะสอนให้ลูกคิดเป็นและมีความสุขในชีวิตได้ ไม่ได้ต่างไปจากตอนนี้เลย

หากเราคิดเป็น มีแนวคิดที่ถูกต้อง อย่างอื่นที่ดีๆ ก็จะเกิดตามมาเอง เพราะถึงจะเกิดเรื่องเลวร้ายขนาดไหน แนวคิดของเราก็จะทำให้เรามองในมุมที่ดีกว่า และอาจจะยับยั้งการกระทำที่เราไม่ทันคิดไว้อีกด้วย (ถ้าสติมาทัน)

เรื่องราวต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่พ่อสอน หากท่านเปิดใจให้กว้างพอ อาจจะได้มุมมอง แนวคิด การกระทำใหม่ๆ ที่ท่านไม่เคยเห็นไม่เคยทำมาก่อนเลยก็เป็นได้ และยิ่งท่านได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ แล้ว สิ่งที่พ่อสอนก็คงไม่สูญเปล่าแล้ว

ขออนุโมทนากับทุกท่าน

รัญชิดา อุทัยเฉลิม 
บรรณาธิการ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น