นี่คือสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บุคคลผู้ไม่ได้สดับ ไม่รู้ทุกข์ เพราะชินไปกับทุกข์ เมื่อไม่เห็นโทษภัยในทุกข์ จิตก็ไม่ดิ้นรนแสวงหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์
สมัยเมื่อท่านยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่นั้น ท่านเพียงเห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย เห็นนักบวช จิตที่สั่งสมมาจนบารมีเต็มเปี่ยม จึงเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าขึ้นภายในที่จะหาหนทางพ้นทุกข์ให้ได้ และวันนี้ท่านก็สามารถหาหนทางที่สัตว์โลกจะพ้นจากการตาย-การเกิดได้จริงๆ เพราะความเกิด แก่ เจ็บ ตายนั่นเป็นทุกข์ล้วนๆ เราจะไปจากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่เห็นว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ เราจึงไม่เคยคิดจะไปจากมันเลย
นี่คือสาเหตุที่แม้นความทุกข์ใจตั้งมากมายเหมือนน้ำร้อน เกิดขึ้นในใจเราแล้ว แต่เรากลับไม่รู้สึกเลยว่ามันทุกข์ ถ้ายกตัวอย่างสักเรื่อง เช่น เราโดนเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานต่อว่า ทั้งๆ ที่เราไม่ผิด เราก็มานั่งทุกข์เสียใจ ตีโพยตีพาย เที่ยวเล่าเรื่องนั้นให้ใครๆ ฟัง (จริงๆ เพื่อหาพวกให้เขาเข้าใจหรืออยู่ข้างเรา หรือไม่ก็ให้เขาปลอบประโลมใจ) คนที่ฟังต่อจากเรา เขาก็เป็นทุกข์เพราะอินในเนื้อเรื่อง ส่วนใหญ่พอแสดงความคิดเห็น ก็สุมไฟเพิ่มอีก คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาเห็นเรื่องราวก็เป็นทุกข์ สรุปแล้วลงนรกกันหมด เฮ้อ…พวกไก่ซีพี เพราะแทนที่เห็นว่ามันทุกข์ แล้วหาทางที่จะพ้นไปจากมัน กลับช่วยกันทำให้มันร้อนขึ้นไปกันใหญ่
ไก่ซีพีที่เลี้ยงในฟาร์ม จิกตีกัน แย่งอาหาร แย่งอาณาเขต แย่งตัวผู้ พอเขาจับขึ้นรถ ก็แย่งกันเข้าก่อน อยู่ในรถก็ทะเลาะกันเถียงกัน ถึงโรงงานแย่งกันออกก่อน พอถึงเวลาสังหาร ก็ตายแบบไร้การแจ้งล่วงหน้า สิ่งที่ได้ติดตัวไปคืออกุศลทั้งชีวิต ไปมืดทั้งๆ ที่ได้เกิดมากินดีอยู่ดี อย่าหลงวนในเนื้อเรื่องกันนักเลย อะไรที่ผ่านมาในชีวิต มันต้องผ่านไปในที่สุด ลองนึกถึงวันที่เคยเจ็บปวดเป็นทุกข์ที่สุดในชีวิต วันนี้มันไปไหนแล้ว วันนั้นทำอะไรเป็นการก่อเวรทิ้งไว้หรือเปล่า ทุกข์วันนี้หายไปแล้ว แต่วิบากกรรมที่สร้างไว้ยังคงอยู่รอผลนะ
ดังนั้นวันนี้อะไรผ่านมา ไม่ต้องดิ้นหนี ถึงจะดิ้นหนีมันก็ผ่านไปอยู่แล้ว จงเป็นไก่สงบๆ เถอะ เพราะเมื่อวันนั้นมาถึงก็ต้องไปหมุนอยู่หน้าเซเว่นอยู่ดี จะได้เป็นไก่ 5 ดาวอย่างแท้จริง เพราะที่หมุนอยู่นั้น มันเป็นแค่ซากที่เคยเป็นไก่ จะไปเดือดร้อนอะไร
เขียนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น