ภัยพิบัติ 2012

ถึงวันนี้ เมื่อหยุดแล้วถอยหลังมาดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทย ก็คงเห็นความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับพี่น้องคนไทย ไม่ว่าที่ไหนๆ นี่ปี 2011 นะ ถ้าจินตนาการต่อไปว่า 2012 มันเลวร้ายกว่านี้ มีแผ่นดินไหว แผ่นดินแยก น้ำท่วมไปทุกหัวระแหง เท่านี้คนก็ทุกข์แย่แล้ว หากวันนั้นเกิดขึ้นมันจะขนาดไหนนะ ทุกคนคงทุกข์กันมากจากการพลัดพราก จากการสูญเสียทั้งชีวิตของคนที่รัก หรือสูญเสียอวัยวะหรือชีวิตของตัวเอง หลายคนติดอยู่ใต้ซากที่ไม่มีใครมาช่วย ต้องอยู่กับความมืดจนตาย จากนั้นคนที่รอดก็ติดเชื้อจากโรคระบาด ผู้คนหนีตายกันไปในที่ที่พอจะหาอะไรกินได้บ้าง ไปกองกันอีกจนขาดแคลน ทุกคนจะเห็นแก่ตัว ไม่มีการเกื้อกูลต่อการภาวนาอีกต่อไป

ในวันที่เสวนาภัยพิบัติที่ยุวพุทธ พิธีกรคุณแทนคุณได้ถามว่า ถ้าอาจารย์มีโอกาสเลือก อาจารย์จะเลือกไปอยู่ที่ไหน ผมตอบว่า เรื่องที่จะหนีไปไหนคงไม่มี เพราะตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผมบรรยายหรือเปิดคอร์สอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะมีบ้านที่ไหน ก็ไม่ได้แปลว่าจะไปได้ และจริงๆ ก็ไม่เคยคิดจะไปไหน เพราะอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ทำหน้าที่เท่านั้นเอง มันทำให้นึกถึงความฝันหนึ่งซึ่งแปลกดี แล้วก็เข้ากับเหตุการณ์ตอนนี้อย่างน่าประหลาด

ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติรุนแรงมาก หลังจากนั้นเกิดโรคระบาดรุนแรงที่ไม่สามารถรักษาได้ ต้องกักบริเวณผู้ติดเชื้อประมาณ 6,000 คน ซึ่งผมเป็นหนึ่งใน 6,000 คนนั้นด้วย จากนั้น เขาได้ให้คนทั้งหมดเข้าไปในโรงยิมเพื่อจะทำลายทิ้ง เหมือนไก่เป็นไข้หวัดนกแล้วถูกฆ่าแบบเดียวกันเลย เขามีเตียง 2 ชั้น ให้นอนกันเต็มโรงยิม แล้วการนับถอยหลังก็เริ่มต้นขึ้น เพื่อจะระเบิดโรงยิมปลิดชีวิตผู้ติดเชื้อทั้งหมด ทุกคนนอนร้องไห้กันระงม จมอยู่ในความเศร้าโศกกันมาก ผมจึงตะโกนขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้สติ และพูดธรรมะให้ทุกคนฟัง ส่วนมากเริ่มสงบลง หลายคนเข้าใจก็ปล่อยวาง บางคนก็ทำใจไม่ได้ ยังคงร้องไห้กลัวตายและคิดถึงคนข้างนอก ผมจึงเดินไปปลอบใจและให้ทุกคนรู้ลมและวางกายนี้ เพื่อความสุขสงบ มีสุคติภูมิเป็นที่หมาย สักพักผมได้ยินเสียงประกาศทางไมโครโฟนอย่างเกรี้ยวกราด ให้คนที่เดินไปอยู่ที่เตียงคนอื่นซึ่งหมายถึงผม กลับไปนอนที่เตียงของตัวเอง การนับถอยหลังดำเนินมาจนถึง 3…2…1… เมื่อการนับถอยหลังมาถึงศูนย์ แทนที่ผมจะได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้อง ผมกลับรู้สึกทุกอย่างรอบตัวเงียบสงบ ทุกอย่างสลายไป ทุกอย่างสงบเย็น จากนั้นผมลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม ด้วยความรู้สึกว่า น่าจะเป็นความจริงไปเสียเลย

แม้จะเป็นเพียงฝันฝันหนึ่ง แต่ผมก็รู้สึกภูมิใจ ที่แม้แต่ในฝัน ผมก็ยังคงทำหน้าที่ของผมไปจนหมดลมหายใจ ดังนั้นไม่ว่าปี 2012 จะเกิดอะไรขึ้น ผมจะยังคงทำหน้าที่ต่อไป โดยไม่สะทกสะท้านกับความตาย ขอรับใช้พระศาสดา ตอบแทนที่พระองค์ทรงเหนื่อยยาก จนมาเป็นคำสอนถึงพวกเราในวันนี้ คำหนึ่งที่ดังก้องอยู่ในใจผมเสมอคือ

“เธอจงอย่าเป็นสาวกคนสุดท้ายของเราเลย”


เขียนเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2554 ช่วงมหาอุทกภัยกรุงเทพฯ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น