เมื่อก่อนคนกรุงไม่คุยกับคนไม่รู้จัก ไม่ทักทายใคร ใครทักก็มองแบบหมิ่นๆ (ใช้ดวงตาทำกรรม) มองหน้าแล้วเดินไป แต่วันนี้ทุกคนพูดคุยกัน เห็นอกเห็นใจกัน
หลายคนทำหน้าเป็นทุกข์ประกอบการพูด เพื่อให้ผู้ฟังได้เกิดอารมณ์ร่วมว่าฉันทุกข์จริงนะ ไม่เชื่อดูหน้าฉันสิ
แต่พวกเราจะเปลี่ยนใหม่ พูดด้วยหัวใจที่เบิกบาน ยิ้มไปพูดไป ไม่ว่าจะเล่าถึงสภาพที่ย่ำแย่เพียงไรที่เกิดขึ้นกับบ้านเรา แต่จงประกาศก้องออกไปทางสีหน้าแววตา ให้ผู้ฟังได้รู้ว่า อุทกภัยนี้ทำร้ายได้แต่บ้านเรือน แต่ทำร้ายจิตใจเราไม่ได้ No Problem!
จงประกาศออกไปอย่างอาจหาญว่า เรานี้ล่ะ ไม่สะทกสะท้าน เราจะเป็นตัวอย่างให้คนรอบข้าง ให้โลกได้เห็นว่า ปฏิบัติธรรมแล้วอยู่เหนือโลก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสิ่งเราเรียนรู้แล้ว เรายอมรับแล้วสิ่งต่างๆ มีสภาพเป็นทุกข์ เราอยู่อย่างผู้เห็นทุกข์ รู้ทุกข์ วางทุกข์ลงได้ ไม่เอาทุกข์มาเป็นของเรา เดินลุยน้ำอย่างมีความสุข (ถ้าน้ำลึก ป้องกันบ้างนะ) ยิ้มให้กำลังใจทุกคน ให้กำลังใจคนอื่น ทำให้คนอื่นคลายทุกข์ลงบ้าง เราไม่เป็นไรสบายมาก อย่าห่วง (หนักกว่าเธอก็เจอมาแล้ว เจ็บอีกทีจะสักเท่าไร?)
จงเรียนรู้และยอมรับมัน แล้วใจเราจะบอกเองว่า มันก็แค่นั้นเอง วันที่เกิดมาเสื้อผ้ายังไม่มีเลย วันตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ วันนี้ที่มีอยู่ ก็สะสมไว้เยอะเกินอยู่แล้ว ที่เกินมาก็ล้วนทำให้ไปยึดติด เป็นทุกข์ ลดๆ ลงบ้างก็อยู่ได้ ไม่เห็นเป็นไร มันอาจจะเจ็บบ้างวันนี้ วันหน้าจะได้สบายเมื่อเกิดปัญญา…ยิ้มสู้
เขียนเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 ช่วงมหาอุทกภัยกรุงเทพฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น