ทุกอย่างว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน

อ่านไป คิดไป ดีแล้ว เข้าใจแล้ว แต่ 3 วันลืม ไม่ต้องอะไรมาก ที่อ่านผ่านมานั้น จำอะไรได้บ้าง ในข้อคิดเพื่อปัญญานี้ ได้สัก 10% ก็เก่งแล้ว ที่เราจะเข้าถึงคำสอนได้คือ รู้แจ้งที่จิตใจของแต่ละคนเองนะ จะทำอะไร อย่างไร แบบไหน อย่ามัวเถียงกันให้เสียเวลา (จะตายกันอยู่แล้ว) จะทำอย่างไรกันก็ตามที เพราะอ่านกันมามาก ฟังกันมาเยอะ ถนัดทำแบบไหนก็เชิญ ทำให้เห็นให้ได้ว่าสรรพสิ่งทั้งปวง (รูปธรรม นามธรรม) ทั้งภายนอก ภายใน

  1. ล้วนเกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา
  2. สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นก็พยายามรักษาสภาพแต่ก็ทำไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปตลอด เหมือนการเดินประคองกะละมังที่เต็มไปด้วยน้ำ ให้น้ำไม่กระเพื่อมไม่กระฉอกนั้น เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะร่างกาย สิ่งของ หรือจิตใจ ล้วนอยู่ในสภาพเดียวกัน (เห็นภาพน้ำในกะละมังที่กระเพื่อมไหม เมื่อกี๊…นั่นล่ะสังขารการปรุงแต่งทำงานไวนะ)
  3. สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ ดับไปเพราะหมดเหตุ (มีเหตุให้ดับหรือเหตุเท่ากับศูนย์) เมื่อเห็นดังนี้ จะเห็นเองว่าสิ่งนั้นเป็นอนัตตา

เมื่อเห็นดังนี้ด้วยตัวเองในทุกสรรพสิ่ง จิตจะคลายความยึดถือ ทำไมจึงเห็นทั้ง 3 อย่างในทุกสรรพสิ่งล่ะ เพราะพระพุทธเจ้าสอนหรือ? เปล่า เพราะทุกสรรพสิ่งในโลกนั้น เป็นเพียงรูปและนาม ว่างจากตัวตน เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกอย่างเลย รวมพวกเราด้วย ไม่มียกเว้น ดูจริงๆ ก็จะเห็นเอง แต่ถูกยึดถือ จึงเกิดการบดบัง แบบบังมิด ทั้งๆ ที่มันก็เห็นๆ อยู่โจ้งๆ แต่โดนความปรุงแต่งพาแฉลบไปเห็นอย่างอื่นแทน นี่ก็เพราะความที่ไม่รู้ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ นี้คือหนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์ จึงเข้าไปยึดถือสิ่งต่างๆ เรื่องของเรื่องเพราะไปยึดขันธ์ 5 เป็นเรานี่ล่ะ เลยไปกันใหญ่

ในความเป็นจริง ทุกๆ อย่างในโลกว่างจากตัวตน เชื่อไหม? ไม่ต้องเชื่อ คนอ่านอยู่ก็ด้วย คนเขียนก็ด้วย (ตอนเขียนถึงตรงนี้ ยังเขียนอยู่ แต่ตอนอ่านถึงตรงนี้เขียนเสร็จแล้ว ตอนที่พิมพ์เนี่ยะ ยังไม่ได้อ่านแต่พิมพ์ไปก่อนว่าอ่านแล้ว แต่พออ่านนั่นน่ะพิมพ์เสร็จแล้ว ตอนที่อ่านนั้นเป็นอนาคตของการพิมพ์ หากเห็นอย่างนี้จะเข้าใจได้ว่า ทำไมเทวดาจึงเห็นอดีต อนาคต ปัจจุบันอยู่ในเวลาเดียวกัน) กลับมาที่เรื่องว่างจากตัวตน แม้พ่อ แม่ ปู่ ย่า ป้า น้า อา ต้นไม้หน้าบ้าน ข้างรั้ว ก้อนหิน สุนัขที่เล่นอยู่ที่บ้าน ที่วัด ปลาในน้ำ ไก่ในเล้า ฯลฯ ล้วนว่างจากตัวตนกันทั้งนั้น ไม่ได้คิดจะอธิบายให้เข้าใจหรอก เพียงให้ท่านเก็บไว้เป็นข้อมูล ไม่ได้บอกให้เชื่อ เพราะหากพิสูจน์ถูกตามคำสอนในองค์มรรค ก็จะเข้าใจได้

แต่คำว่า “ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน” นี้คนมักจะคิดกันไปเอง ว่าสภาพนี้เป็นอย่างไร โดยดูจากคำ แล้วมาตีความหมายเอาเอง จึงนั่งถกเถียงกัน เสียเวลาทั้งคนคิดและคนอธิบาย

ลองดูตัวอย่างง่ายๆ ดูซิ จะพอเข้าใจได้ไหม ต้นไม้ในบ้าน ถ้าเพลี้ยกินจนใบร่วง ทุกข์ไหม?…ทุกข์ ต้นไม้ กทม. ที่ปลูกไว้ข้างทางโดนเพลี้ยกิน ทุกข์ไหม?…ไม่ทุกข์ เพราะไม่ยึดเป็นของเรา เอาล่ะ นั่นเรามองในมุมของเรา

ที่นี้เรามามองในมุมของต้นไม้บ้าง ตกลงต้นไม้ของ กทม. ที่เราไม่ยึดมันอยู่ได้ไหม อยู่ได้ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เข้าไปยึด ต้นไม้ในบ้านเรา ถ้าเราขายบ้านแล้ว มันอยู่ได้ไหม ทั้งๆ ที่ไม่เป็นของเราแล้ว มันอยู่ของมันได้ไหม ตอนเราอยู่ เรารดน้ำใส่ปุ๋ยให้มัน มันก็อยู่ดีเพราะได้ธาตุอาหาร ถ้าเราไปแล้ว มันก็ดิ้นรนอยู่ของมัน ดิ้นสุดขีด แล้วอยู่ไม่ได้ ก็ตายไปตามธรรมดา มันเคยเป็นของเราตอนไหนหรือ?

แล้วกายใจล่ะ ถ้าไม่ยึดเป็นของเรา เวลาปวดฉี่เราต้องสั่งไหมให้ไปฉี่ เวลาหิวต้องสั่งไหม ให้มันออกแสวงหา ต้องสั่งหายใจไหม เขาทำโดยไม่ต้องมีเจตนาก็ได้ อาจงงสักนิด เพราะเรานึกเสมอว่ามีเราจึงไม่รู้ว่าความจริง เหตุการณ์มากมายในชีวิตที่เขาทำโดยไม่มีเรา แต่เรานึกเองว่าเราทำ จึงตีขลุมเป็นเราทำ เลยดูไม่ออก

ตกลงไม่ยึดว่าเป็นต้นไม้เรา รดน้ำได้ไหม? ได้ รดเพราะต้นไม้จะได้โต ไม่ได้รดเพราะเป็นต้นไม้เรา เคยซื้อปุ๋ยใส่ต้นไม้ข้างถนนที่ไม่ใช่ของเราไหม? ถ้าซื้อใส่แล้ว มันจะกลายเป็นของเราไหม?

รู้แจ้งเกิดปัญญาและปล่อยวางได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นหมดทุกข์ เพราะฉะนั้นที่พูดกันว่า ปล่อยวางๆ นั้นมีตั้งแต่ระดับหนูน้อย จนถึงขั้นสุดยอดเลยนะ ทำเถอะ ทำอะไรได้รีบทำ เดี๋ยวก็ตายแล้ว ถ้าตายจะไม่ได้ทำอะไรเลย รู้ลมสักทีก็ยังดี (เอาตรงนี้เลย) คนเราเดี๋ยวตายแน่นะ หากเราต้องตายตอนวินาทีที่ 60 วินาทีที่ 59 ยังบอกไม่ได้เลยว่าจะตายเมื่อไหร่ ตอนวินาทีที่ 59 อาจยังไม่รู้เลยนะ ว่าอีกวินาทีเดียวเราจะตายแล้ว ดังนั้นตอนนี้เราไม่รู้ว่าเราอยู่วินาทีที่ 59 รึเปล่านะ เราจะทำกุศล ไม่ทำอกุศลทั้งภายนอกและภายในใจทุกๆ วินาทีนะ แต่พอวินาทีที่ 60 มาถึง มันจะกลายเป็นปัจจุบัน ตอนนี้ล่ะ ตอนนี้ก็ปัจจุบัน ตอนนั้นก็ปัจจุบันเหมือนกัน


เขียนเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น